Monday, October 31, 2011

Download Microsoft Office Visio 2007 Service Pack 3

ดาวน์โหลด Microsoft Office Visio 2007 Service Pack 3 (SP3)
ไมโครซอฟท์เปิดให้ดาวน์โหลด Microsoft Office Visio 2007 Service Pack 3 (SP3) ซึ่งเป็นการอัพเดทล่าสุดสำหรับ Microsoft Office Visio 2007 ที่รวมการอัพเดท 2 ประเภทด้วยกัน คือ
  1. ฟิกซ์สำหรับใช้แก้ปัญหาที่ไมโครซอฟท์ยังไม่เคยเปิดให้ดาวน์โหลดมาก่อน รวมถึงฟิกซ์ทั่วไปสำหรับใช้เพื่อปรับปรุงความเสถียร, ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยในการทำงาน
  2. อัพเดท, อัพเดทความปลอดภัย, การอัพเดทแบบสะสม และฮอตฟิกซ์ต่างๆ ซึ่งออกหลังจากการออก Office Visio 2007 ถึงเดือนสิงหาคม 2554

Sunday, October 30, 2011

Internet Explorer 9 (IE9) Usage Share On Windows 7 Continues Rise

จำนวนผู้ใช้ Internet Explorer 9 ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าจำนวนผู้ใช้ Internet Explorer โปรแกรมเว็บเบราเซอร์ของไมโครซอฟท์โดยรวมจะมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่จำนวนผู้ใช้ Internet Explorer 9 (IE9) กลับมีแน้วโน้มเพิ่มขึ้นอย่างเนื่อง โดยข้อมูล ณ เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ถ้าคิดเฉพาะในสหรัฐอเมริกาจะมีผู้ใช้ IE9 บน Windows 7 สูงกว่า 31% ในขณะที่มีผู้ใช้ IE9 บน Windows 7 ทั่วโลกสูงกว่า 22.1% โดยสาเหตุที่ผู้ใช้ IE9 มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นการเพิ่มขึ้นตามจำนวนของผู้ใช้ Windows 7

Saturday, October 29, 2011

Download Microsoft Office Excel Viewer 2007 Service Pack 3

ดาวน์โหลด Microsoft Office Excel Viewer 2007 Service Pack 3 (SP3)
ไมโครซอฟท์เปิดให้ดาวน์โหลด Microsoft Office Excel Viewer 2007 Service Pack 3 (SP3) ซึ่งเป็นการอัพเดทล่าสุดสำหรับ Office Excel Viewer 2007 ที่รวมการอัพเดท 2 ประเภทด้วยกัน คือ
  1. ฟิกซ์สำหรับใช้แก้ปัญหาต่างๆ (เป็นฟิกซ์ที่ไมโครซอฟท์ยังไม่เคยออกให้ดาวน์โหลดมาก่อน) รวมถึงฟิกซ์ทั่วไปสำหรับใช้เพื่อปรับปรุงความเสถียร, ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยในการทำงาน
  2. อัพเดท, อัพเดทความปลอดภัย, การอัพเดทแบบสะสม และฮอตฟิกซ์ต่างๆ ซึ่งออกหลังจากการออก Office Excel Viewer 2007 ถึงเดือนสิงหาคม 2554

Fix 2 incorrect 32-bit registry entries in Windows 7 64-bit or Windows Server 2008 R2

ไมโครซอฟท์ออกอัพเดทสำหรับแก้ปัญหาค่า Registry เวอร์ชัน 32-บิท ไม่ถูกต้องบน Windows 7 เวอร์ชัน 64-บิท หรือ Windows Server 2008 R2
ไมโครซอฟท์ออกอัพเดทหมายเลข KB2603229 สำหรับแก้ปัญหาค่ารีจีสทรี่ (Registry) เวอร์ชัน 32-บิทไม่ถูกต้องซึ่งเกิดขึ้นบน Windows 7 เวอร์ชัน 64-บิท หรือ Windows Server 2008 R2 โดยปัญหานี้อาจจะส่งผลให้โปรแกรมแอพพลิเคชันเวอร์ชัน 32-บิทที่ติดตั้งอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์แสดงข้อมูลไลเซนส์ (License information) ไม่ถูกต้อง สำหรับรีจีสทรี่ที่มีปัญหามี 2 เอนทรี่ดังนี้

Download Microsoft Office PowerPoint Viewer 2007 Service Pack 3

ดาวน์โหลด Microsoft Office PowerPoint Viewer 2007 Service Pack 3 (SP3)
ไมโครซอฟท์เปิดให้ดาวน์โหลด Microsoft Office PowerPoint Viewer 2007 Service Pack 3 (SP3) ซึ่งเป็นการอัพเดทล่าสุดสำหรับ Office PowerPoint Viewer 2007 ที่รวมการอัพเดท 2 ประเภทด้วยกัน คือ
  1. ฟิกซ์สำหรับใช้แก้ปัญหาต่างๆ (เป็นฟิกซ์ที่ไมโครซอฟท์ยังไม่เคยออกให้ดาวน์โหลดมาก่อน) รวมถึงฟิกซ์ทั่วไปสำหรับใช้เพื่อปรับปรุงความเสถียร, ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยในการทำงาน
  2. อัพเดท, อัพเดทความปลอดภัย, การอัพเดทแบบสะสม และฮอตฟิกซ์ต่างๆ ซึ่งออกหลังจากการออก Office PowerPoint Viewer 2007 ถึงเดือนสิงหาคม 2554

Friday, October 28, 2011

Windows 7 Jump List that contains more than 999 items is not displayed

ไมโครซอฟท์ออกอัพเดทสำหรับแก้ปัญหาไอเท็มของ Jump List ของ Windows 7 หาย


สืบเนื่องจากมีรายงานว่าผู้ใช้ Windows 7 บางคนประสบกับปัญหาไอเท็มของ Jump List หายโดยไม่ทราบสาเหตุ ล่าสุดไมโครซอฟท์ได้ออกมาชี้แจงรายละเอียดพร้อมทั้งออกอัพเดทสำหรับใช้แก้ปัญหาดังกล่าวนี้แล้ว

Thursday, October 27, 2011

วิธีแก้ปัญหา Windows ไม่เจอ Product key เมื่อทำการติดตั้ง Windows 8 บน Virtual Machine บน VMware Player 4.0

VMware Player 4.0 โปรแกรมสำหรับจำลองระบบคอมพิวเตอร์แบบฟรีแวร์ของ VMware เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการทดสอบ Windows 8 Developer Preview แต่ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์สำรอง แต่โชคไม่ดีที่ไมโครซอฟท์ไม่ได้แจกหมายเลขผลิตภัณฑ์ (Product Key) ให้กับผู้ดาวน์โหลด จึงส่งผลให้ไม่สามารถทำการติดตั้ง Windows 8 Developer Preview บนเวอร์ชวลคอมพิวเตอร์ที่รันบน VMware Player 4.0 ได้ เนื่องจากเกิดข้อผิดพลาด "Windows cannot read the Product key setting from the unattend answer file" ลักษณะดังรูปที่ 1

ไมโครซอฟท์ออก Microsoft Office 2007 Service Pack 3 (SP3)

ไมโครซอฟท์เปิดให้ดาวน์โหลด Microsoft Office 2007 Service Pack 3 (SP3)
25 ตุลาคม 2554: ไมโครซอฟท์ออก Microsoft Office 2007 Service Pack 3 (SP3) ซึ่งเป็นการอัพเดทใหญ่ในรอบ 30 เดือนนับจาก Microsoft Office 2007 SP2 (ออกเมื่อ 28 เมษายน 2552) และเป็นเซอร์วิสแพ็คตัวสุดท้ายของ Office 2007 (ตามการประกาศของไมโครซอฟท์) โดย Microsoft Office 2007 SP3 เป็นการรวมอัพเดทล่าสุดของการอัพเดท 2 ประเภทด้วยกัน คือ
  1. ฟิกซ์สำหรับใช้แก้ปัญหาต่างๆ (เป็นฟิกซ์ที่ไมโครซอฟท์ยังไม่เคยออกให้ดาวน์โหลดมาก่อน) รวมถึงฟิกซ์ทั่วไปสำหรับใช้เพื่อปรับปรุงความเสถียร (Stability) ประสิทธิภาพ (Performance) และความปลอดภัย (Security) ในการทำงานของ Microsoft Office 2007
  2. อัพเดท (Updates), อัพเดทความปลอดภัย (Security Updates), การอัพเดทแบบสะสม (Cumulative Updates) และฮอตฟิกซ์ (Hotfixes) ซึ่งออกหลังจากการออก Microsoft Office 2007 ถึงเดือนกันยายน 2554

เนื่องจาก Service Pack สำหรับ Office เป็นการอัพเดทแบบสะสมโดย SP3 จะรวมอัพเดทและฟิกซ์ทั้งหมดที่มีใน SP1 และ SP2 ดังนั้นผู้ใช้สามารถทำการติดตั้ง SP3 สำหรับ Microsoft Office 2007 ได้โดยไม่จำเป็นต้องทำการติดตั้ง SP1 หรือ SP2 ก่อน

วิธีการติดตั้ง Microsoft Office 2007 Service Pack 3
ผู้ใช้ Microsoft Office 2007 สามารถติดตั้ง SP3 ได้หลายวิธี ดังนี้

วิธีที่ 1: ติดตั้ง SP3 ผ่านทาง Microsoft Update
การติดตั้ง Microsoft Office 2007 SP3 ผ่านทาง Microsoft Update ทำได้โดยการเปิดไปยังเว็บไซต์ Microsoft Update จากนั้นดำเนินการตามคำสั่งบนจอภาพจนแล้วเสร็จ

วิธีที่ 2: ดาวน์โหลด SP3 จาก Microsoft Download Center มาติดตั้งแบบแมนนวล
ผู้ใช้ Microsoft Office 2007 ที่ต้องการติดตั้ง SP3 แบบแมนนวลสามารถทำการดาวน์โหลด SP3 จาก Microsoft Download Center ได้จากเว็บไซต์ต่อไปนี้
วิธีที่ 3: ติดตั้ง SP3 ผ่านทางเซิร์ฟเวอร์ WSUS
สำหรับผู้ใช้ภาคองค์กรสามารถทำการติดตั้ง Microsoft Office 2007 SP3 ผ่านทางเซิร์ฟเวอร์ WSUS (ในกรณีที่มีการติดตั้งใช้งาน WSUS)

มีอะไรใหม่ใน Microsoft Office 2007 Service Pack 3
รายละเอียดการปรับปรุงการทำงานที่สำคัญของแต่ละโปรแกรมใน Office 2007 SP3 มีดังนี้
  • Documents that require custom security trimming are not returned from alert search queries, even if the user who created the alert could see and query for these documents.
  • Non-Unicode characters in certain error message strings now display correctly.
  • Four new bibliography styles are now available in the "Word Citations & Bibliography" feature: Harvard Anglia, IEEE, APA Sixth Edition, and MLA Seventh Edition.
  • Chinese New Year holiday is now included in the Outlook calendar for Singapore.
  • Fixes an issue in which Excel 2007 sometimes crashes when you open an Excel workbook previously saved in a newer version of Excel. This occurs if the file uses a new feature that is not available in the 2007 Office system.
  • Fixes issues with the Pre and Post Reform rules in the French Thesaurus.
  • Fixes an issue in which encryption settings are not configurable when they are used with a file format compatibility pack converter and Office 2003 or an earlier version of Office.
  • Fixes an issue in which a crash sometimes occurs when an Excel workbook is opened in Excel and then previewed by using the Windows Explorer preview pane feature.
  • Fixes an issue in which Excel Slicers and Ribbon customizations are lost when an XLSX file is first saved as an ODS file, and then saved as an XLSX file in Excel 2007.

เวอร์ชันของ Microsoft Office 2007ที่รองรับ Service Pack 3
Microsoft Office 2007 เวอร์ชันที่ใช้งานได้กับ SP3 ได้แก่
  • Microsoft Office Basic 2007
  • Microsoft Office Enterprise 2007
  • Microsoft Office Professional 2007
  • Microsoft Office Professional Plus 2007
  • Microsoft Office Small Business 2007
  • Microsoft Office Standard 2007
  • Microsoft Office Ultimate 2007

ประวัติของ Microsoft Office 2007 (ที่มา: Wikipedia)
Microsoft Office 2007 มีการออกเอวร์ชันต่างๆ ดังนี้
  • Microsoft Office 2007 General Availability (GA) ออกเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2550
  • Microsoft Office 2007 Service Pack 1 (SP1) ออกเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2550
  • Microsoft Office 2007 Service Pack 2 (SP2) ออกเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2552
  • Microsoft Office 2007 Service Pack 3 (SP3) ออกเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2554

บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
The 2007 Microsoft Office Suite Service Pack 3 (SP3)

Copyright © 2011 TWA Blog. All Rights Reserved.

Wednesday, October 26, 2011

Google Chrome 15.0.874.102 Stable released for all platforms

กูเกิลออก Google Chrome 15.0.874.102 เวอร์ชันเสถียรตัวแรกของเวอร์ชัน 15.0 เพิ่มคุณสมบัติ New Tab Page

กูเกิลออก Google Chrome 15.0.874.106 Stable (26 ตุลาคม 2554)
กูเกิลอัพเดท Google Chrome Stable Channel เวอร์ชันสำหรับระบบปฏิบัติการ Windows, Mac OS X, Linux และ Chrome Frame เป็นเวอร์ชัน 15.0.874.106 เพื่อแก้ปัญหาการล็อกอินเข้าเว็บไซต์ Barrons Online และ The Wall Street Journal โดยสามารถทำการอัพเดทตามวิธีที่อธิบายในหัวข้อ การดาวน์โหลดและการติดตั้ง Google Chrome ด้านล่าง หรือดาวน์โหลดตัวติดตั้งของ Google Chrome จากเว็บไซต์ Download Google Chrome 15.0.874.106 มาทำการติดตั้งด้วยตนเอง

Tuesday, October 25, 2011

วิธีการเปิด Command Prompt ภายใต้สิทธิ์ผู้ดูแลระบบแบบถาวรบน Windows 7

การเปิดคอมมานด์พรอมท์ (Command Prompt) บน Windows 7 ตามปกติจะรันภายใต้สิทธิ์ผู้ใช้ธรรมดา (Standard user) แต่ถ้าต้องการเปิดหน้าต่างคอมมานด์พรอมท์ภายใต้สิทธิ์ของผู้ดูแลระบบ (Administrator Privileges) จะต้องเปิดโดยการคลิก Start แล้วพิมพ์ cmd ในช่อง Search programs and files จากนั้นคลิกขวาบน cmd แล้วเลือก Run as Administrator จากนั้นคลิก Yes ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ User Account Control (UAC)* แต่ถ้าต้องใช้งานคอมมานด์พรอมท์ภายใต้สิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบเป็นประจำควรทำการคอนฟิกให้คอมมานด์พรอมท์ภายใต้สิทธิ์ผู้ดูแลระบบแบบถาวรเพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการทำงาน

Monday, October 24, 2011

How To Shrink Hard Disk Partition In Windows 7

วิธีการลดขนาดพาร์ติชันฮาร์ดดิสก์บน Windows 7
Disk Management ใน Windows 7 และ Windows Vista นั้นได้รับการปรับปรุงให้มีความสามารถสูงขึ้นโดยสามารถรองรับการปรับขนาดพาร์ติชันฮาร์ดดิสก์ได้ นั้นคือ ผู้ใช้สามารถทำการขยายขนาด (Extend) พาร์ติชันฮาร์ดดิสก์, ลดขนาด (Shrink) พาร์ติชันฮาร์ดดิสก์ ได้โดยไม่ต้องทำการลบแล้วสร้างพาร์ติชันใหม่ส่งผลให้ไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลที่เก็บอยู่บนฮาร์ดิสก์จะได้รับผลกระทบหรือเสียหาย และที่สำคัญไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมเสริมแบบเธิร์ดปาร์ตี้ให้เสียเวลาอีกด้วย

สำหรับบทความนี้จะเป็นการสาธิตวิธีการลดขนาดพาร์ติชันฮาร์ดดิสก์ใน Windows 7 ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

1. คลิก Start แล้วพิมพ์คำว่า partition ในช่อง Search programs and files จากนั้นคลิกเลือก Create and format hard disk partitions ซึ่งแสดงอยู่ภายใต้หัวข้อ Control Panel จะปรากฏหน้าต่าง Disk Management
2. ในหน้าต่าง Disk Management ให้คลิกเลือกฮาร์ดดิสก์ที่ต้องการลดขนาดพาร์ติชัน โดยในที่นี้คือ Disk 0 ดังรูปที่ 1

รูปที่ 1

3. จากนั้นคลิกขวาบนพาร์ติชันที่ต้องการขยายขนาดในที่นี้คือ Volume 1 (D:) แล้วเลือก Shrink Volume ดังรูปที่ 2

รูปที่ 2

4. ในไดอะล็อกบ็อกซ์ Shrink D: ให้ใส่ขนาดที่ต้องการลด (หน่วยเป็น MB) ในช่อง Enter the amount of space to shrink in MB ดังรูปที่ 3 เสร็จแล้วคลิก Shrink เพื่อจบการลดขนาดพาร์ติชันฮาร์ดดิกส์ ซึ่งพาร์ติชันของ Disk 0 จะเพิ่มจาก 2 พาร์ติชันเป็น 3 พาร์ติชัน ดังรูปที่ 4 จากนั้นปิดหน้าต่าง Disk Management เพื่อจบการทำงาน

รูปที่ 3

รูปที่ 4

สำหรับวิธีการขยายขนาดพาร์ติชันสามารถอ่านได้จาก How To Extend Hard Disk Partition in Windows 7

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

Copyright © 2011 TWA Blog. All Rights Reserved.

How To Extend Hard Disk Partition in Windows 7

วิธีการขยายขนาดพาร์ติชันฮาร์ดดิสก์บน Windows 7
Disk Management ใน Windows 7 และ Windows Vista นั้นได้รับการปรับปรุงให้มีความสามารถสูงขึ้นโดยสามารถรองรับการปรับขนาดพาร์ติชันฮาร์ดดิสก์ได้ นั้นคือ ผู้ใช้สามารถทำการขยายขนาด (Extend) พาร์ติชันฮาร์ดดิสก์, ลดขนาด (Shrink) พาร์ติชันฮาร์ดดิสก์ ได้โดยไม่ต้องทำการลบแล้วสร้างพาร์ติชันใหม่ส่งผลให้ไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลที่เก็บอยู่บนฮาร์ดิสก์จะได้รับผลกระทบหรือเสียหาย และที่สำคัญไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมเสริมแบบเธิร์ดปาร์ตี้ให้เสียเวลาอีกด้วย

สำหรับบทความนี้จะเป็นการสาธิตวิธีการขยายขนาดพาร์ติชันฮาร์ดดิสก์ใน Windows 7 ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

หมายเหตุ: การขยายพาร์ติชันฮาร์ดดิสนั้นจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีพื้นที่ว่างบนฮาร์ดิสก์

1. คลิก Start แล้วพิมพ์คำว่า partition ในช่อง Search programs and files จากนั้นคลิกเลือก Create and format hard disk partitions ซึ่งแสดงอยู่ภายใต้หัวข้อ Control Panel จะปรากฏหน้าต่าง Disk Management
2. ในหน้าต่าง Disk Management ให้คลิกเลือกฮาร์ดดิสก์ที่ต้องการขยายขนาดพาร์ติชัน โดยในที่นี้คือ Disk 0 ดังรูปที่ 1

รูปที่ 1

3. จากนั้นคลิกขวาบนพาร์ติชันที่ต้องการขยายขนาดในที่นี้คือ Volume 1 (D:) แล้วเลือก Extend Volume ดังรูปที่ 2 จะปรากฏไดอะล็อกบ็อกซ์ Welcome to the Extend Volume Wizard ดังรูปที่ 3 ให้คลิก Next เพื่อไปยังขั้นตอนถัดไป

รูปที่ 2

รูปที่ 3

4. ในไดอะล็อกบ็อกซ์ Select Disk ให้เลือกฮาร์ดดิสก์ในช่อง Available เสร็จแล้วคลิก Add จากนั้นใส่ขนาดที่ต้องการขยาย (หน่วยเป็น MB) ในช่อง Select the amount of space in MB เสร็จแล้วคลิก Next

รูปที่ 4

5. ในไดอะล็อกบ็อกซ์ Completing the Extend Volume Wizard ดังรูปที่ 5 ให้คลิก Finish เพื่อจบการขยายขนาดพาร์ติชันฮาร์ดดิกส์ ซึ่งพาร์ติชันของ Disk 0 จะลดลงจาก 3 พาร์ติชันเหลือ 2 พาร์ติชัน ดังรูปที่ 6 จากนั้นปิดหน้าต่าง Disk Management เพื่อจบการทำงาน

รูปที่ 5

รูปที่ 6

สำหรับวิธีการลดขนาดพาร์ติชันสามารถอ่านได้จาก How To Shrink Hard Disk Partition In Windows 7

บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog


Copyright © 2011 TWA Blog. All Rights Reserved.

Sunday, October 23, 2011

Install Windows 8 Developer Preview on VMware Player 4.0

การติดตั้ง Windows 8 Developer Preview บน VMware Player 4.0
คอมพิวเตอร์เสมือน (Virtual Machine) เป็นทางเลือกที่สะดวกและส่งผลกระทบน้อยที่สุดสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการทดสอบซอฟต์แวร์แต่ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์สำรอง โดยโปรแกรมสำหรับใช้จำลองระบบคอมพิวเตอร์ (Virtualization Software) แบบฟรีแวร์มีให้เลือกใช้งานหลายตัว และ VMware Player ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับใช้จำลองระบบคอมพิวเตอร์บนเดสก์ท็อปของ VMware เป็นตัวเลือกที่ดีตัวหนึ่ง เนื่องจากพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานเดียวกันกับ VMware Workstation และยังสามารถรองรับ Windows Developer Preview ซึ่งเป็นเวอร์ชัน Pre-Beta ของ Windows 8 ระบบปฏิบัติการสำหรับคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปตัวถัดไปของไมโครซอฟท์ได้อีกด้วย

สำหรับบทความนี้จะสาธิตการติดตั้ง Windows 8 Developer Preview เวอร์ชัน 32 บิทบนเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือนที่รันบน VMware Player 4.0 ซึ่งติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ Windows 7 บนเครื่อง Dell Optiplex 990 ใช้ซีพียู Intel Core i5-2400 3.10GHz พร้อมหน่วยความจำ 4GB

ขั้นตอนการติดตั้ง Windows 8 Developer Preview
การติดตั้ง Windows 8 Developer Preview มีขั้นตอนดังนี้
1. ทำการบูตเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือนด้วยแผ่นดีวีดี Windows Setup จะได้หน้าจอ Windows Developer Preview ดังรูปที่ 1 ให้รอจนการบูทระบบแล้วเสร็จ

รูปที่ 1

2. ในหน้าต่าง Install Windows ดังรูปที่ 2 ให้เลือกภาษาที่ต้องการ และตั้งค่าอื่นๆ ตามความต้องการ เสร็จแล้วคลิก Next เพื่อไปยังขั้นตอนต่อไป
ในที่นี้เลือก:
Language to install: English
Time and currency format: English (United States)
Keyboard or input method: US

รูปที่ 2

3. ในหน้าต่างดังรูปที่ 3 ให้คลิก Install Now เพื่อเริ่มการติดตั้ง Windows 8 Developer Preview

รูปที่ 3

4. ในหน้าต่าง Please read the license terms ดังรูปที่ 4 ให้อ่าน License Terms เสร็จแล้ว ให้คลิกเช็คบ็อกซ์ I accept the license terms จากนั้นคลิก Next เพื่อไปยังขั้นตอนถัดไป

รูปที่ 4

5. ในหน้าต่าง Which type of installation do you want? ดังรูปที่ 5 ให้เลือกเป็น Custom (advanced)

รูปที่ 5

6. ในหน้าต่าง Where do you want to install Windows? ดังรูปที่ 6 ให้เลือก Hard Disk หรือ Partition ที่ต้องการติดตั้ง เสร็จแล้วคลิก Next

รูปที่ 6

7. ระบบจะเริ่มทำการติดตั้งระบบ Windows โดยจะดำเนินการต่างๆ ดังนี้ คือ Copying Windows files, Expanding Windows files, Installing features, Installing updates และ Completing installation รอจนการติดตั้งแล้วเสร็จ

รูปที่ 7

8. หลังจากทำการติดตั้งแล้วเสร็จ Windows จะทำการรีสตาร์ทเครื่อง จากนั้นจะปรากฏหน้าต่าง Personalize ดังรูปที่ 8 ให้กำหนดชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์โดยป้อนชื่อที่ต้องการในช่อง Name เสร็จแล้วคลิก Next

รูปที่ 8

9. ในหน้าต่าง Settings ดังรูปที่ 9 ให้คลิก Use express settings เพื่อทำการตั้งค่าระบบแบบด่วน

รูปที่ 9

10. ในหน้าต่าง Log on ให้กำหนดชื่อผู้ใช้ในช่อง User name แล้วกำหนดรหัสผ่านที่ต้องการ 2 ครั้ง ในช่อง Password และ Retype password จากนั้นพิมพ์ข้อมูลช่วยจำรหัสผ่านในช่อง Password hint เสร็จแล้วคลิก Next

รูปที่ 10

11. วินโดวส์จะทำการจัดเตรียมระบบตามการตั้งค่า (Finalizing you settings) ลักษณะดังรูปที่ 11 เมื่อเสร็จแล้วก็จะปรากฏหน้า Start ดังรูปที่ 12

รูปที่ 11

รูปที่ 12

ทดลองใช้งาน Windows 8 Developer Preview
จากหน้า Start สามารถเปิด Start Menu ได้โดยให้เลื่อนเคอร์เซอร์เม้าส์ไปบริเวณมุมล่างด้านซ้ายของหน้าต่างจะปรากฏ Start Menu ให้เลือกคำสั่งดังรูปที่ 13 สำหรับวิธีการใช้งานเบื้องต้นสามารถอ่านได้จาก วิธีการ Log Off, Restart และ Shut Down เครื่องคอมพิวเตอร์ Windows 8

รูปที่ 13

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

Copyright © 2011 TWA Blog. All Rights Reserved.

Friday, October 21, 2011

How To Boot Virtual Machine From DVD/CD-ROM Media In VMware Player 4.0

วิธีการบูท Virtual Machine จาก DVD/CD-ROM บน VMware Player 4.0
VMware Player เป็นโปรแกรมสำหรับใช้จำลองระบบคอมพิวเตอร์บนเดสก์ท็อป (Desktop Virtualization) แบบฟรีแวร์ของ VMware ที่เหมาะสำหรับเจ้าหน้าที่ไอทีใช้ในการทดสอบระบบหรือนักพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้ในการทดสอบโปรแกรม โดยเวอร์ชวลแมชชีน (Virtual Machine) บน VMware Player สามารถรองรับการบูทด้วยไฟล์อิมเมจ ISO หรือแผ่นดิสก์ (Installer disc) ลักษณะดังรูปที่ 1 แต่สำหรับผู้ใช้ VMware Player 4.0 บนเครื่องคอมพิวเตอร์ Windows 7 และคอนฟิกเวอร์ชวลแมชชีนให้บูทด้วยแผ่นดิสก์อาจจะประสบปัญหาเวอร์ชวลแมชชีนไม่สามารถบูทระบบได้โดยจะค้างอยู่ที่หน้าจอสีดำ

Thursday, October 20, 2011

Antimalware Engine 1.1.7801.0 released to Microsoft Security Essentials

ไมโครซอฟท์อัพเดท Antimalware Engine ของโปรแกรม Microsoft Security Essentials เป็นเวอร์ชัน 1.1.7801.0
ไมโครซอฟท์อัพเดทแอนตี้มัลแวร์เอนจิน (Antimalware Engine) ของโปรแกรม Microsoft Security Essentials (MSE) เป็นเวอร์ชัน 1.1.7801.0 โดยการอัพเดทแอนตี้มัลแวร์เอนจินในครั้งนี้เป็นการอัพเกรดเทคโนโลยีการป้องกันมัลแวร์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นตามแผนปกติ (อัพเดทเดือนละครั้ง) และนอกจากทำการอัพเดทโปรแกรม MSE แล้ว ไมโครซอฟท์ยังได้ทำการอัพเดทแอนตี้มัลแวร์เอนจินของโปรแกรม Forefront Client Security (FCS), Forefront Endpoint Protection (FEP) และ Windows Intune Endpoint Protection (IEP) อีกด้วย ทั้งนี้ ไฟล์ซิกเนเจอร์แพ็คเกจแรกที่จะมาพร้อมแอนตี้มัลแวร์เอนจินเวอร์ชันใหม่คือ เวอร์ชัน 1.115.7.0

How To Create Virtual Machine in VMware Player 4.0

วิธีการสร้าง Virtual Machine บน VMware Player 4.0
บทความนี้จะเป็นการสาธิตการสร้างเวอร์ชวลแมชชีน (Virtual Machine) บน VMware Player ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับใช้จำลองระบบคอมพิวเตอร์บนเดสก์ท็อป (Desktop Virtualization) แบบฟรีแวร์ของ VMware โดยตั้งแต่ VMware Player 3.0 จะสามารถสร้างเวอร์ชวลแมชชีนได้เอง และสามารถรันเวอร์ชวลแมชชีนที่สร้างขึ้นจากโปรแกรม VMware Workstation, VMware Server, และ VMware ESX Server หรือเวอร์ชวลแมชชีนที่สร้างขึ้นจาก Windows Virtual PC, Microsoft Virtual PC, Microsoft Virtual Server โดย VMware Player นั้นเปรียบเสมือนเป็น VMware Workstation ที่ตัดความสามารถขั้นสูงออก

Wednesday, October 19, 2011

How To Log Off User With Command Line In Windows 7

วิธีการล็อกออฟผู้ใช้จากคอมมานไลน์บน Windows 7 โดยใช้คำสั่ง Logoff
ก่อนหน้านี้ผมได้แนะนำวิธีการล็อกออฟผู้ใช้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ Windows 7 โดยการใช้ Task Manager ไปแล้ว ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาในกรณีมีผู้ใช้บางคนทำการล็อกออนค้างอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีการใช้งานร่วมกันหลายคน สำหรับในบทความนี้จะแนะนำวิธีการล็อกออฟผู้ใช้จากคอมมานไลน์บน Windows 7 โดยการใช้คำสั่ง Logoff ซึ่งเป็นคำสั่งที่มาพร้อมกับ Windows 7 อย่างไรก็ตามวิธีนี้อาจทำให้ข้อมูลของผู้ใช้ที่ถูกล็อกออฟเสียหรือสูญหายได้ ดังนั้นควรใช้ในกรณีจำเป็นจริงๆ เท่านั้น

Tuesday, October 18, 2011

How To Log Off Users With Task Manager In Windows 7?

วิธีการล็อกออฟผู้ใช้ด้วย Task Manager บน Windows 7
ความสามารถในการสลับผู้ใช้ (Switch User) ทำให้การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ Windows 7 ร่วมกันทำได้สะดวกขึ้นและช่วยให้การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์มีความคุ้มค่ามากขึ้น แต่ปัญหาหนึ่งที่ตามมาคือ ผู้ใช้บางคนล็อกออนค้างอยู่บนเครื่อง วิธีการแก้ปัญหาที่มีผลกระทบน้อยที่สุดคือการแจ้งให้ผู้ใช้ที่ล็อกออนค้างมาทำการล็อกออฟ แต่ถ้าไม่สามารถใช้วิธีการนี้ได้ผู้ใช้ที่เป็นแอดมินสามารถทำการล็อกออฟผู้ใช้ที่ล็อกออนค้างอยู่ได้ อย่างไรก็ตามวิธีนี้อาจทำให้ข้อมูลของผู้ใช้ที่ถูกล็อกออฟเสียหรือสูญหายได้

Monday, October 17, 2011

แป้นพิมพ์ลัดสำหรับการใช้งาน Remote Desktop บน Windows 7

การทำงานแบบรีโมทเดสก์ท็อป (Remote Desktop) เพื่อจัดการเครื่องลูกข่ายคอมพิวเตอร์หรือเซิร์ฟเวอร์ระบบ Windows เป็นรูปแบบการใช้งานที่คุ้นเคยกันดีของผู้ดูแลระบบ แต่เนื่องจากเป็นการทำงานบนคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องในเวลาเดียวกันซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนได้ในบางสถานการณ์ โดยเฉพาะเมื่อต้องการใช้คีย์ลัดเพื่อทำงานต่างๆ ระหว่างบนเครื่องโลคอลคอมพิวเตอร์และเครื่องรีโมทคอมพิวเตอร์

Sunday, October 16, 2011

Microsoft Security Essentials 2.1 with new Antimalware Engine is planned for release on 18 October 2011

ไมโครซอฟท์เตรียมอัพเดท Antimalware Engine ของโปรแกรม Microsoft Security Essentials 2.1 ในวันที่ 18 ต.ค. 54
14 ตุลาคม 2554: ไมโครซอฟท์ประกาศผ่านทางเว็บไซต์ Antimalware Engine Notifications ว่าจะทำการอัพเดทโปรแกรม Microsoft Security Essentials (MSE) 2.1 เป็นเวอร์ชันใหม่ในวันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2554 (ตามเวลาในประเทศสหรัฐอเมริกา) ที่จะถึงนี้ โดยโปรแกรม MSE 2.1 เวอร์ชันใหม่จะมาพร้อม Antimalware Engine 1.1.780X.0 (เวอร์ชันปัจจุบันคือ 1.1.770x) สำหรับเหตุผลของการอัพเดทครั้งนี้เป็นเพียงการอัพเกรดเทคโนโลยีการป้องกันมัลแวร์ตามแผนการปกติ

Windows 7 ขึ้นเป็น "ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่มีผู้ใช้มากที่สุด" แล้ว

Windows 7 ระบบปฏิบัติการเดสก์ท็อปคอมพิวเตอร์ตัวล่าสุดของไมโครซอฟท์นั้นประสบความสำเร็จทั้งด้านการตลาดและการยอมรับจากผู้ใช้ โดย Windows 7 มีจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ออกเวอร์ชัน Release to Manufacturing (RTM) เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2552 และออกเวอร์ชัน General Availability (GA) เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2552 และปัจจุบันไมโครซอฟท์สามารถขาย Windows 7 ได้มากกว่า 450 ล้านไลเซนส์แล้ว ส่งผลให้ Windows 7 สามารถผ่านหลักไมล์ที่สำคัญนั้นคือ ระบบปฏิบัติการเดสก์ท็อปคอมพิวเตอร์ที่มีผู้ใช้มากที่สุด ได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว

Saturday, October 15, 2011

Microsoft updates Internet Explorer 9 to version 9.0.3

ไมโครซอฟท์อัพเดท Internet Explorer 9 เป็นเวอร์ชัน 9.0.3
ไมโครซอฟท์อัพเดท Internet Explorer 9 เวอร์ชันสำหรับ Windows Vista และ Windows 7 ทั้งรุ่น 32-บิท และ 64-บิทเป็นเวอร์ชัน 9.0.3 (revision 3) อย่างเงียบๆ ซึ่งเป็นผลมาจากการติดตั้งอัพเดท MS11-081: Cumulative Security Update for Internet Explorer (2586448) ที่ออกมาเพื่อแก้ปัญหาช่องโหว่ความปลอดภัยระดับวิกฤตที่พบใน Internet Explorer 9 (IE9) รวมถึง IE6, IE7 และ IE8 โดยช่องโหว่ความปลอดภัยเหล่านี้สามารถใช้ทำการรันโค้ดอันตรายเพื่อโจมตีระบบจากระยะไกล (Remote code execution) ได้ถ้ามีการเปิดหน้าเว็บที่มีการฝังโค้ดอันตรายด้วย IE เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ในกรณีการโจมตีประสบความสำเร็จผู้โจมตีก็จะได้รับสิทธิ์ในระดับเดียวกับสิทธิ์ของผู้ใช้ในขณะที่ถูกโจมตี

สำหรับปัญหาช่องโหว่ความปลอดภัยใน IE ที่ได้รับการแก้ไขโดยอัพเดm MS11-081 มีจำนวน 8 ปัญหามีดังนี้
  • Scroll Event Remote Code Execution Vulnerability - CVE-2011-1993
  • OLEAuto32.dll Remote Code Execution Vulnerability - CVE-2011-1995
  • Option Element Remote Code Execution Vulnerability - CVE-2011-1996
  • OnLoad Event Remote Code Execution Vulnerability - CVE-2011-1997
  • Jscript9.dll Remote Code Execution Vulnerability - CVE-2011-1998
  • Select Element Remote Code Execution Vulnerability - CVE-2011-1999
  • Body Element Remote Code Execution Vulnerability - CVE-2011-2000
  • Virtual Function Table Corruption Remote Code Execution Vulnerability - CVE-2011-2001
ทั้งนี้ เนื่องจากปัญหาใน IE ที่ได้รับการแก้ไขในครั้งนี้มีความร้ายแรงสูงและมีผลกระทบรุนแรง ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ทำการติดตั้งอัพเดทหมายเลข MS11-081 ขอแนะนำให้ดำเนินการในทันทีโดยการใช้ IE เปิดไปที่เว็บไซต์ Microsoft Update จากนั้นดำเนินการตามคำสั่งบนจอภาพจนแล้วเสร็จ โดยอัพเดทตัวนี้เป็นแบบ "Cumulative" คืออัพเดทที่รวมเอาฟิกซ์ทั้งหมดที่ออกมาก่อนหน้าเข้าเป็นอัพเดทเดียว และนอกจากจะทำการแก้ปัญหาช่องโหว่ความปลอดภัยแล้วมันยังอัพเดทเวอร์ชันของ IE9 เป็น 9.0.3 ดังรูปด้านล่าง ซึ่งหมายเลข 3 ใน 9.0.3 นั้นหมายความว่าเป็นการอัพเดท revision 3 แต่การอัพเดทครั้งนี้จะไม่มีผลกับหมายเลขเวอร์ชัน User-Agent string หรือหมายเลขเวอร์ชันของแพลตฟอร์มอื่นๆ แต่อย่างใด

Internet Explorer 9.0.3 (KB2586448)

หมายเหตุ: วิธีการดูหมายเลขเวอร์ชันของ IE9 ให้คลิก Help (ในกรณีมีการแสดงเมนู) หรือคลิกไอคอนทูล (รูปฟันเฟือง) แล้วเลือก About Internet Explorer

บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
IE Blog

Copyright © 2011 TWA Blog. All Rights Reserved.

Friday, October 14, 2011

Hyper-V Dynamic Memory Troubleshooting

ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยในการใช้งาน Hyper-V Dynamic Memory
Dynamic Memory เป็นคุณสมบัติใหม่ใน SP1 สำหรับ Windows Server 2008 R2 และ Hyper-V Server 2008 R2 ที่ช่วยให้ Hyper-V ใช้งานหน่วยความจำ (Physical memory) ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Hyper-V จะจัดการหน่วยความจำเป็นแบบ Shared Resource ที่พร้อมจัดสรรให้กับเวอร์ชวลแมชชีนที่กำลังรันอยู่โดยอัตโนมัติ โดย Hyper-V จะทำการปรับจำนวนของหน่วยความจำที่เวอร์ชวลแมชชีนใช้งานได้ตามการเปลี่ยนแปลงของความต้องการหน่วยความจำ (Memory demand) และค่าที่กำหนด ซึ่งจากที่ผมได้เปิดใช้งาน Dynamic Memory พบว่าช่วยให้การใช้งานเซิร์ฟเวอร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่กว่าจะใช้งานได้สำเร็จผมต้องพบกับปัญหา 2-3 อย่างจึงขอนำประสบการณ์มาแบ่งปันกันครับ

Google Chrome Browser Hit 200 Million Users Mark

Google Chrome มีผู้ใช้มากกว่า 200 ล้านคนแล้ว
กูเกิลได้เฉลิมฉลองความสำเร็จของ Google Chrome โปรแกรมเว็บเบราเซอร์อายุ (เพียง) 3 ปี อีกครั้ง เมื่อ Larry Page ซึ่งเป็นซีอีโอของกูเกิลได้ประกาศในวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2254 ว่า Google Chrome มีผู้ใช้มากกว่า 200 ล้านคน เรียบร้อยแล้ว และนับเป็นการผ่านหลักไมล์สำคัญอีกครั้งของ Google Chrome ซึ่งในช่วง 1-2 ปีนี้มีจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยเพิ่มจาก 120 ล้านคนเมื่อสิ้นเดือนธันวาคม 2553 เป็น 160 ล้านคนในเดือนพฤษภาคม 2554 และเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านคนในปัจจุบัน (ตุลาคม 2554) โดยเวอร์ชันเสถียรตัวล่าสุดคือ Google Chrome 14.0.835.202 Stable ออกเมื่อ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา

Thursday, October 13, 2011

Windows 7 SP1 ปลอดภัยจากมัลแวร์มากกว่า Windows 7 RTM, Windows Vista SP2 และ Windows XP SP3

ไมโครซอฟท์จะจัดทำและออก Security Intelligence Report (SIR) ซึ่งเป็นรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของมัลแวร์ในระบบคอมพิวเตอร์เป็นประจำในทุกๆ 6 เดือน และล่าสุดไมโครซอฟท์ออกรายงาน SIR โวลุ่ม 11 (SIRv11) ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลาครึ่งแรกของปี 2554

Wednesday, October 12, 2011

Microsoft Fixes Critical Bugs In Windows, Silverlight And Internet Explorer

ไมโครซอฟท์ออกซีเคียวริตี้อัพเดทเดือนตุลาคมจำนวน 8 ตัว โดยมี 2 อัพเดทสำหรับแก้ปัญหาร้ายแรงระดับวิกฤตใน Windows, Silverlight และ Internet Explorer

11 ตุลาคม 2554: ไมโครซอฟท์ออกซีเคียวริตี้อัพเดท (Security Update) หรือที่นิยมเรียกว่า Patch Tuesday จำนวน 8 ตัว ซึ่งในจำนวนนี้ มีอัพเดท 2 ตัวสำหรับแก้ปัญหาความปลอดภัยที่มีความร้ายแรงระดับวิกฤต (Critical) ใน Windows รวมถึง Windows 7, Silverlight 4 และ Internet Explorer (IE) ตั้งแต่เวอร์ชัน IE6 - IE9 สำหรับอัพเดทที่เหลืออีก 6 ตัว เป็นอัพเดทสำหรับแก้ปัญหาที่มีความร้ายแรงระดับสูง (Important) ที่พบใน Windows หลายเวอร์ชัน, ใน Forefront Unified Access Gateway (UAG) และ Host Integration Server (HIS) โดยปัญหาที่จะได้รับการแก้ไขในการอัพเดทของเดือนตุลาคมนี้มีทั้งหมด 23 ปัญหา

Monday, October 10, 2011

ใช้งานคอมพิวเตอร์แบบรีโมทจาก Google Chrome ด้วย Chrome Remote Desktop

โดยทั่วไปแล้วการใช้งานแบบรีโมทเดสก์ท็อป (Remote Desktop) ส่วนใหญ่แล้วจะใช้โปรแกรมแบบ Desktop Client อย่างเช่น Remote Desktop Services ที่ไมโครซอฟท์ให้มาพร้อมกับ Windows หรือบางคนก็จะใช้โปรแกรมแบบเธิร์ดปาร์ตี้อย่าง TeamViewer หรือ VNC เป็นหลัก แต่ในปัจจุบันมีโปรแกรมสำหรับใช้ในการทำงานแบบรีโมทผ่านทางเว็บเบราเซอร์ให้เลือกใช้งานหลายตัว รวมถึงโปรแกรมส่วนขยาย (Extension) ของ Google Chrome ที่ชื่อ Chrome Remote Desktop ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเวอร์ชัน Beta โดยรีลีสล่าสุดคือเวอร์ชัน 1.2.20109.8300 ออกเมื่อ 7 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา

Sunday, October 9, 2011

Comparison Between Windows 8 vs. Windows 7 Memory Use

ไมโครซอฟท์แสดงหลักฐานที่ยืนยันว่า Windows 8 ใช้งานหน่วยความจำน้อยกว่า Windows 7 อย่างชัดเจน


เป้าหมายในการพัฒนา Windows 8 ของไมโครซอฟท์นั้นนอกจากการทำให้ระบบทำงานดีขึ้นกว่า Windows 7 แล้วจะต้องออกแบบให้สามารถใช้งานกับระบบฮาร์แวร์เดียวกันกับ Windows 7 ได้อีกด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ใช้ Windows 7 สามารถอัพเกรดไปเป็น Windows 8 และได้ใช้งานฟังก์ชันใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น ทำให้ปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนดความต้องการระบบ Windows 8 คือ ความต้องการหน่วยความจำ (Memory) และระบบฮาร์ดแวร์ที่จะใช้ในการติดตั้ง

Saturday, October 8, 2011

10 Things Administrator Should Know About Hyper-V Dynamic Memory

10 สิ่งที่แอดมินควรทราบเกี่ยวกับ Hyper-V Dynamic Memory
ผมได้ใช้งาน Hyper-V Dynamic Memory ซึ่งเป็นคุณสมบัติใหม่ของ Service Pack 1 (SP1) สำหรับ Windows Server 2008 R2 และ Hyper-V Server 2008 R2 กับเวอร์ชวลแมชชีน (Virtual Machine) มาเป็นระยะเวลานานพอสมควร ทำให้ได้พบกับทั้งข้อดี ประโยชน์ ปัญหา และอุปสรรคต่างๆ ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับแอดมินระบบ Hyper-V ทุกท่าน ในบทความนี้ ผมจึงสรุป 10 ประเด็นสำคัญที่แอดมินควรทราบเพื่อเกี่ยวกับการใช้งาน Dynamic Memory มาฝากครับ

โดย 10 เรื่องต่อไปนี้ คือสิ่งที่แอดมินควรทราบในการใช้งานระบบ Hyper-V Dynamic Memory ให้ประสบความสำเร็จและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

1. What is Dynamic Memory?
Dynamic Memory เป็นคุณสมบัติใหม่ใน SP1 สำหรับ Windows Server 2008 R2 และ Hyper-V Server 2008 R2 โดยคุณสมบัติ Dynamic Memory ช่วยให้ Hyper-V ใช้งานหน่วยความจำ (Physical memory) ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Hyper-V จะจัดการหน่วยความจำเป็นแบบ Shared Resource ที่พร้อมจัดสรรให้กับเวอร์ชวลแมชชีนที่กำลังรันอยู่โดยอัตโนมัติ โดย Dynamic Memory จะทำการปรับจำนวนของหน่วยความจำที่เวอร์ชวลแมชชีนใช้งานได้ตามการเปลี่ยนแปลงของความต้องการหน่วยความจำ (Memory demand) และค่าที่กำหนด

2. What are the Benefits of Dynamic Memory?
Dynamic Memory ช่วยให้สามารถรองรับการขยายระบบได้มากขึ้นและง่ายขึ้น โดยก่อนหน้านี้ การกำหนดหน่วยความจำให้กับเวอร์ชวลแมชชีนในระบบ Hyper-V จะเป็นแบบคงที่ (Static Memory) หมายความว่าเวอร์ชวลแมชชีนแต่ละตัวจะครอบครองหน่วยความจำที่กำหนดให้ตลอดเวลาที่เปิดเครื่องไม่ว่าเวอร์ชวลแมชชีนจะอยู่ในสถานะทำงานหรือหยุดทำงานชั่วคราวก็ตาม โดยเวอร์ชวลแมชชีนจะคืนหน่วยความจำให้ระบบก็ต่อเมื่ออยู่ในสถานะบันทึกหรือปิดเครื่องเท่านั้น ด้วย Dynamic Memory ทำให้ Hyper-V สามารถจัดหน่วยความจำให้กับเวอร์ชวลแมชชีนได้ตามความต้องการใช้งานอย่างแท้จริงทำให้สามารถเพิ่มจำนวนเวอร์ชวลแมชชีนบนระบบได้มากขึ้น และแอดมินสามารถกำหนดหน่วยความจำให้กับเวอร์ชวลแมชชีนได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องอัพเกรดระบบฮาร์แวร์หรืออัพเกรดน้อยที่สุด

3. What are the requirements to run Hyper-V Dynamic Memory?
คุณสมบัติ Dynamic Memory นั้นจะมีให้ใช้เฉพาะ Hyper-V ที่ติดตั้งบน Windows Server 2008 R2 ที่ติดตั้ง SP1 และ Hyper-V Server 2008 R2 ที่ติดตั้ง SP1 เท่านั้น

4. What is the version of Hyper-V that support Dynamic Memory?
เวอร์ชันของ Hyper-V สำหรับ Windows Server 2008 R2 และ Hyper-V Server 2008 R2 ที่รองรับ Dynamic Memory คือ เวอร์ชัน 6.1.7601.17514 สำหรับวิธีการตรวจสอบเวอร์ชันสามารถอ่านได้ที่ วิธีการตรวจสอบเวอร์ชันของ Hyper-V บนระบบปฏิบัติการ Windows Server 2008 R2

5. What guest operating systems that support Dynamic Memory?
เวอร์ชวลแมชชีนจะต้องรันระบบปฏิบัติการเกสต์ที่รองรับ Dynamic Memory และระบบปฏิบัติการบางตัวจะต้องติดตั้งอัพเดทหรือฮ็อตฟิกซ์ที่กำหนดก่อนจึงจะสามารถใช้งาน Dynamic Memory ได้ โดยรายชื่อระบบปฏิบัติการที่รองรับ Dynamic Memory มีดังนี้
  • Windows Server 2008 R2 รุ่น Standard และ Web: ให้ทำการติดตั้ง Windows Server 2008 R2 SP 1 ในระบบปฏิบัติการเกสต์
  • Windows Server 2008 R2 รุ่น Enterprise และ Datacenter: ให้ทำการติดตั้ง Windows Server 2008 R2 SP 1 ในระบบปฏิบัติการเกสต์ หรืออัพเกรด Integration Services ในระบบปฏิบัติการเกสต์เป็นเวอร์ชัน SP1
  • Windows 7 รุ่น Ultimate และ Enterprise (32-bit และ 64-bit): ติดตั้ง Windows 7 SP1 ในระบบปฏิบัติการเกสต์ หรืออัพเกรด integration services ในระบบปฏิบัติการเกสต์เป็นเวอร์ชัน SP1
  • Windows Server 2008 with Service Pack 2 (SP2) รุ่น Standard และ Web (32-bit และ 64-bit): อัพเกรด integration services ในระบบปฏิบัติการเกสต์เป็นเวอร์ชัน SP1 และทำการติดตั้งฮ็อตฟิกซ์หมายเลข 2230887 (http://go.microsoft.com/fwlink/?LinkId=206472)
  • Windows Server 2008 with Service Pack 2 (SP2) รุ่น Enterprise และ Datacenter (32-bit และ 64-bit):อัพเกรด integration services ในระบบปฏิบัติการเกสต์เป็นเวอร์ชัน SP1
  • Windows Vista with Service Pack 1 (SP1) Ultimate และ Enterprise(32-bit และ 64-bit): อัพเกรด integration services ในระบบปฏิบัติการเกสต์เป็นเวอร์ชัน SP1
  • Windows Server 2003 R2 with Service Pack 2 (SP2) รุ่น Standard, Web, Enterprise, และ Datacenter (32-bit และ 64-bit): อัพเกรด integration services ในระบบปฏิบัติการเกสต์เป็นเวอร์ชัน SP1
  • Windows Server 2003 with Service Pack 2 รุ่น Standard, Web, Enterprise, และ Datacenter (32-bit และ 64-bit): อัพเกรด integration services ในระบบปฏิบัติการเกสต์เป็นเวอร์ชัน SP1
6. How much memory does VM need?
ระบบปฏิบัติการเกสต์บนเวอร์ชวลแมชชีนแต่ละตัวต้องการหน่วยความจำเริ่มต้น (Startup RAM) แตกต่างกัน รูปด้านล่างแสดงรายละเอียดของความต้องการค่าหน่วยความจำเริ่มต้นของแต่ละระบบปฏิบัติการ


7. What happens with guest OS that does not support Dynamic Memory?
ในกรณีที่ทำการเปิดใช้งาน Dynamic Memory บนเวอร์ชวลแมชชีนที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการเกสต์ที่ไม่รองรับ Dynamic Memory นั้น เวอร์ชวลแมชชีนจะใช้งานหน่วยความจำตามค่าหน่วยความจำเริ่มต้นที่กำหนดให้เท่านั้น

8. Can I use Dynamic Memory on both x86 and x64 architectures?
Dynamic Memory สามารถใช้งานได้กับเวอร์ชวลแมชชีนที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการเกสต์ทั้งเวอร์ชัน 32-บิท (x86) และ 64-บิท (x64) ถ้าระบบปฏิบัติการเกสต์นั้นรองรับ Dynamic Memory (ดูรายชื่อระบบปฏิบัติการเกสต์ได้จากข้อ 5)

9. Can i do in place upgrade from RC to RTM?
ในกรณีที่มีการติดตั้ง Service Pack 1 เวอร์ชัน RC บนเซิร์ฟเวอร์ Windows Server 2008 R2 หรือ Hyper-V Server 2008 R2 จะต้องทำการถอนการติดตั้งเวอร์ชัน RC ก่อนจึงจะสามารถติดตั้ง Service Pack 1 เวอร์ชัน RTM ได้

10. How to Enabling Hyper-V Dynamic Memory?
การคอนฟิก Dynamic Memory จะต้องทำขณะที่เวอร์ชวลแมชชีนออฟไลน์เท่านั้น รูปด้านล่างเป็นตัวอย่างหน้าต่าง Settings for VM_name สำหรับใช้คอนฟิก Dynamic Memory ส่วนขั้นตอนการคอนฟิกสามารถอ่านได้ที่ การใช้งาน Dynamic Memory ในระบบ Hyper-V บน Windows Server 2008 R2 SP1


นอกจากนี้ ในการใช้งาน Dynamic Memory และ RemoteFX ซึ่งเป็นคุณสมบัติใหม่ใน SP1 กับเวอร์ชวลแมชชีนนั้น จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับผลกระทบเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันกับเซิร์ฟเวอร์ที่รัน Hyper-V เวอร์ชันก่อนหน้าด้วย สำหรับรายละเอียดสามารถอ่านได้จากคู่มือ Deployment Guide for Windows Server 2008 R2 with SP1 and Windows 7 with SP1 ที่เว็บไซต์ http://go.microsoft.com/fwlink/?LinkId=192441

บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
Hyper-V Dynamic Memory Configuration Guide

Copyright © 2011 TWA Blog. All Rights Reserved.

Friday, October 7, 2011

Microsoft will issue 2 critical updates that fix vulnerabilities in Windows, Silverlight and Internet Explorer next week

ไมโครซอฟท์เตรียมออก 2 อัพเดทเพื่อแก้ปัญหาความปลอดภัยร้ายแรงระดับวิกฤตใน Windows, Silverlight และ Internet Explorer

ในเดือนตุลาคมนี้ผู้ดูแลระบบ Windows จะต้องพบกับงานหนักอีกครั้งเมื่อไมโครซอฟท์ประกาศว่าจะออกอัพเดทของเดือนตุลาคม 2554 จำนวน 8 ตัว ซึ่งในจำนวนนี้ มีอัพเดท 2 ตัวสำหรับแก้ปัญหาความปลอดภัยที่มีความร้ายแรงระดับวิกฤต (Critical) ใน Windows รวมถึง Windows 7, Silverlight 4 และ Internet Explorer (IE) ตั้งแต่เวอร์ชัน IE6 - IE9 สำหรับอัพเดทที่เหลืออีก 6 ตัว เป็นอัพเดทสำหรับแก้ปัญหาที่มีความร้ายแรงระดับสูง (Important) ที่พบใน Windows หลายเวอร์ชัน, ใน Forefront Unified Access Gateway (UAG) และ Host Integration Server (HIS) โดยปัญหาที่จะได้รับการแก้ไขในการอัพเดทของเดือนตุลาคมนี้มีทั้งหมด 23 ปัญหา

Thursday, October 6, 2011

Update available for Windows Developer Preview Start Screen Issues

ไมโครซอฟท์ออกอัพเดทสำหรับแก้ปัญหาการใช้งาน Start Screen ของ Windows Developer Preview


สืบเนื่องจากมีรายงานว่ามีการพบปัญหาการใช้งาน Start Screen ของ Windows Developer Preview (Build 8102 Milestone 3) ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากผู้ใช้ทำการล็อกออนเข้าระบบดัง 2 เซนาริโอต่อไปนี้

Wednesday, October 5, 2011

VMware Player 4.0 is now available for download

VMware ออก VMware Player 4.0

24 มกราคม 2555: วีเอ็มแวร์ออกอัพเดท VMware Player 4.0.2 เพื่อแก้ปัญหาการทำงานที่พบในรีลีสก่อนหน้าซึ่งที่ได้รับแจ้งจากผู้ใช้ และยังเพิ่มการรองรับระบบปฏิบัติการ Ubuntu 11.10 เป็นระบบปฏิบัติการโฮสต์ (Host OS) และเพิ่มการรองรับระบบปฏิบัติการ Fedora 16 เป็นระบบปฏิบัติการเกสต์ (Guest OS) อย่างเป็นทางการ อ่านรายละเอียดได้ที่ วีเอ็มแวร์ออก VMware Player 4.0.2

[เริ่มเนื้อหาต้นฉบับ]
VMware ออก VMware Player 4.0 ซึ่งเป็นการอัพเดทเมเจอร์เวอร์ชันในรอบเกือบ 2 ปี* ในเมเจอร์เวอร์ชันใหม่ล่าสุดนี้มีคุณสมบัติใหม่หลายอย่าง เช่น รองรับซีพียูแบบ 64-bit capable (EM64T สำหรับซีพียู Intel หรือ AMD64 สำหรับซีพียู AMD) เท่านั้น, เวอร์ชวลแมชชีน (Virtual Machine) สามารถรองรับหน่วยความจำได้สูงสุดถึง 64GB, รองรับ HD Audio device สำหรับระบบปฏิบัติการเกสต์ระบบ Windows และรองรับ USB 3.0 สำหรับระบบปฏิบัติการเกสต์ระบบ Linux เป็นต้น สำหรับรายละเอียดคุณสมบัติใหม่ดูได้จากหัวข้อ คุณสมบัติใหม่ใน VMware Player 4.0 ด้านล่าง สำหรับการอัพเดท VMware Player เป็นเวอร์ชัน 4.0 ในครั้งนี้เป็นไปตามแผนการอัพเดทผลิตภัณฑ์ของ VMware ซึ่งได้ออก VMware Workstation 8.0 ไปเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

* VMware Player 3.0 ออกเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2552

แนะนำ VMware Player
VMware Player เป็นโปรแกรมสำหรับใช้จำลองระบบคอมพิวเตอร์บนเดสก์ท็อป (Desktop Virtualization) แบบฟรีแวร์ของ VMware ที่สามารถใช้ทำการรันเวอร์ชวลแมชชีน (Virtual Machine) ที่สร้างขึ้นจากโปรแกรม VMware Workstation, VMware Server, VMware GSX Server หรือ VMware ESX Server และยังสามารถรองรับเวอร์ชวลแมชชีนที่สร้างขึ้นจากโปรแกรมจำลองระบบคอมพิวเตอร์ของไมโครซอฟท์ เช่น Windows Virtual PC, Microsoft Virtual PC, Microsoft Virtual Server และดิสก์ในฟอร์แมตของ Symantec LiveState ได้อีกด้วย โดย VMware Player นั้นเปรียบเสมือนเป็นเวอร์ชันย่อส่วนของ VMware Workstation

ทั้งนี้ ตั้งแต่ VMware Player 3.0 เป็นต้นมาจะสามารถทำการสร้างเวอร์ชวลแมชชีนได้เอง และที่สำคัญสามารถทำการอิมพอร์ต Windows XP Mode ของ Windows 7 ได้อีกด้วย (อ่านวิธีการโดยละเอียดได้ที่ Import Windows XP Mode using VMware Player 3.0) โดยที่ VMware ยังเปิดให้ดาวน์โหลดและใช้งาน VMware Player ได้ฟรีเหมือนเดิม (ต้องลงทะเบียนก่อนการดาวน์โหลด)

ดาวน์โหลด VMware Player 4.0.0
VMware Player 4.0 มีเวอร์ชันเต็มคือ VMware Player 4.0.0 Build 471780 ออกในวันที่ 4 ตุลาคม 2554 โดยผู้ใช้ทั่วไปสามารถทำการลงทะเบียนเพื่อดาวน์โหลดฟรีได้ที่เว็บไซต์ Register for Download VMware Player สำหรับคนที่เคยลงทะเบียนไว้แล้วสามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ Download VMware Player 4.0.0

VMware Player 4.0.0

คุณสมบัติใหม่ใน VMware Player 4.0.0
VMware Player 4.0.0 มีคุณสมบัติใหม่ ดังนี้
Installation Changes and Enhanced Keyboards
  • VMware Workstation 8.0 ต้องการซีพียูรุ่นใหม่แบบ 64-bit capable ซึ่งมีเทคโนโลยี EM64T สำหรับซีพียู Intel หรือ AMD64 สำหรับซีพียู AMD เท่านั้น และซีพียูจะต้องรองรับ LAHF/SAHF แบบ long mode อีกด้วย

Virtual Hardware Improvements
VMware Player 4.0.0 มีการปรับปรุงระบบฮาร์ดแวร์หลายอย่าง แต่การใช้งานคุณสมบัติใหม่เหล่านี้จะต้องทำการอัพเกรดเวอร์ชันของฮาร์ดแวร์ของเวอร์ชวลแมชชีนหรือทำการสร้างเวอร์ชวลแมชชีนขึ้นใหม่โดยใช้ระบบเวอร์ชวลฮาร์ดแวร์ (Virtual hardware) เวอร์ชันใหม่
  • ระบบดิสเพลย์ (Display) ได้รับการปรับปรุงให้ทำงานได้ดีขึ้นทั้งการใช้งานแบบจอเดียวและหลายจอ และยังเพิ่มความสามารถในการต่อโปรเจคเตอร์กับแล็ปท็อปโดยไม่ต้องรีสตาร์ทเวอร์ชวลแมชชีนอีกด้วย
  • เวอร์ชวลแมชชีนสามารถรองรับหน่วยความจำได้สูงสุดถึง 64GB
  • รองรับ HD Audio device สำหรับระบบปฏิบัติการเกสต์ที่เป็น Windows Vista, Windows 7, Windows 2008, และ Windows 2008 R2 โดย HD Audio device นั้นจะคอมแพตติเบิลกับ RealTek ALC888 7.1 Channel High Definition Audio Codec
  • รองรับ USB 3.0 สำหรับระบบปฏิบัติการเกสต์ที่เป็น Linux ที่รัน kernel เวอร์ชัน 2.6.35 หรือใหม่กว่า (Ubuntu 10.10) ผ่านทางคอนโทรลเลอร์ virtual xHCI USB ตัวใหม่
  • รองรับการแชร์อุปกรณ์ Bluetooth ระหว่างโฮสต์กับระบบปฏิบัติการเกสต์ระบบ Windows

นอกจากนี้ ใน VMware Player 4.0 ยังมีการเปลี่ยนรายละเอียดเกี่ยวกับเอกสารประกอบ (Documentation) ประกอบอีกด้วย สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้จาก VMware Player 4.0.0 Release Notes

บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

แหล่งข้อมูลอ้างอิง: VMware Player

Copyright © 2011 TWA Blog. All Rights Reserved.

Google Chrome 14.0.835.202 Stable released with Adobe Flash Player 11

กูเกิลออก Google Chrome 14.0.835.202 มาพร้อม Flash Player 11.0
กูเกิลออก Google Chrome 14.0.835.202 Stable เวอร์ชันสำหรับระบบปฏิบัติการ Windows, Mac OS X, Linux และ Chrome Frame ซึ่งนับเป็นเวอร์ชันเสถียรตัวที่ 4 ของ Google Chrome 14.0 สำหรับการเปลี่ยนแปลงสำคัญในเวอร์ชันนี้คือ การอัพเดทปลั๊ก-อิน Adobe Flash Player เป็นเวอร์ชัน 11.0 นอกจากนี้ยังมีการแก้ปัญหาความเสถียรและความปลอดภัยที่พบในรีลีสก่อนหน้าจำนวน 7 ปัญหา รวมถึง Memory corruption ใน shader translator ที่มีความร้ายแรงระดับวิกฤต สำหรับรายละเอียดการแก้ปัญหาทั้งหมดสามารถดูได้จากหัวข้อ การแก้ปัญหาความเสถียรและความปลอดภัยใน Google Chrome 14.0.835.202

Tuesday, October 4, 2011

ดาวน์โหลด Oracle VM VirtualBox 4.1.4 Build 74291

โอราเคิลออก Oracle VM VirtualBox 4.1.4 Build 74291 หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ VirtualBox โดยเวอร์ชันนี้เป็นเมนเทนแนนซ์รีลีส (Maintenance release) ออกเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการทำงานต่างๆ ที่พบในเวอร์ชันก่อนหน้าดังรายละเอียดในหัวข้อ "การปรับปรุงใน VirtualBox 4.1.4 Build 74291" ด่านล่าง

Monday, October 3, 2011

Internet Explorer 9 on Windows 7 Passes 30% Usage Share in US

ผู้ใช้ Windows 7 ในสหรัฐอเมริกากว่า 30% ท่องอินเทอร์เน็ตด้วย Internet Explorer 9
Internet Explorer 9 (IE9) สามารถผ่านหลักไมล์สำคัญอีกหนึ่งก้าว เมื่อมีส่วนแบ่งผู้ใช้บน Windows 7 เฉพาะในสหรัฐอเมริกาสูงกว่า 30% เป็นที่เรียบร้อยแล้วหลังจากมีส่วนแบ่งผู้ใช้บน Windows 7 ทั่วโลกสูงกว่า 20% เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยจากรายงานส่วนแบ่งผู้ใช้ IE9 ของไมโครซอฟท์ซึ่งเป็นข้อมูล ณ เดือนกันยายนที่ผ่านมา ปรากฏว่า 31.0% ของผู้ใช้ Windows 7 ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะท่องอินเทอร์เน็ตด้วย IE9 ในขณะที่ 22.1% ของผู้ใช้ Windows 7 ทั่วโลกจะท่องอินเทอร์เน็ตด้วย IE9 สำหรับสาเหตุที่ IE9 มีส่วนแบ่งผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นการเพิ่มขึ้นตามจำนวนของผู้ใช้ Windows 7 ซึ่งปัจจุบันเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเดสก์ทอปที่มีผู้ใช้มากเป็นอันดับ 2 โดยมีส่วนแบ่งผู้ใช้ที่ 32.42%

Sunday, October 2, 2011

Microsoft Security Essentials has mistakenly identified Google Chrome as password-stealing trojan

Microsoft Security Essentials ลบ Google Chrome เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นโทรจันขโมยรหัสผ่าน
โดนงานเข้าเต็มๆ สำหรับผู้ที่ใช้โปรแกรม Google Chrome บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีการติดตั้งโปรแกรม Microsoft Security Essentials (MSE) ซึ่งเป็นโปรแกรมป้องกันมัลแวร์ของไมโครซอฟท์ เนื่องจาก MSE เข้าใจผิดว่า Google Chrome เป็นสมาชิกของโทรจันประเภทขโมยรหัสผ่านที่ชื่อ PWS:Win32/Zbot จึงทำการบล็อคไม่ให้ทำการรันหรือในบางกรณีถึงกับทำการลบโปรแกรมออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ไปเลย ส่งผลให้ผู้ใช้ไม่สามารถเปิดโปรแกรม Google Chrome ได้

โดยเว็บไซต์ Wired รายงานว่า "โฆษกของไมโครซอฟท์กล่าวว่า MSE ทำการบล็อคหรือในบางกรณีทำการลบ Google Chrome โดยไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากเข้าใจผิดว่าเป็นมัลแวร์ PWS:Win32/Zbot ซึ่งเป็นโทรจันในกลุ่มขโมยรหัสผ่าน และหลังจากได้รับรายงานปัญหาดังกล่าวนี้ ไมโครซอฟท์ได้ออกซิกเนเจอร์เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งขออภัยผู้ใช้ Google Chrome ในความผิดพลาดครั้งนี้"

อย่างไรก็ตาม การอัพเดทซิกเนเจอร์ของโปรแกรม MSE นั้นช่วยแก้ปัญหาเฉพาะในกรณีที่ Google Chrome ถูกบล็อคไม่ให้รันเท่านั้น แต่สำหรับในกรณีที่ Google Chrome ถูกลบนั้นผู้ใช้จะต้องทำการติดตั้งโปรแกรมใหม่ตามขั้นตอนดังนี้
1. ให้ทำการอัพเดทซิกเนเจอร์ของ MSE เป็นเวอร์ชัน 1.113.672.0 หรือใหม่กว่าให้เรียบร้อย
2. ทำการอัพเดท Google Chrome 14.0.835.187 Stable อ่านรายละเีอีดได้ที่ กูเกิลออก Google Chrome 14.0.835.187 Stable เพื่อแก้ปัญหาการทำงานร่วมกับ MSE

Microsoft Security Essentials (MSE)

บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
Microsoft Anti-Malware Tool Mistakenly Snuffs Google Chrome

Copyright © 2011 TWA Blog. All Rights Reserved.

Google Chrome 14.0.835.187 Stable released

กูเกิลออก Google Chrome 14.0.835.187 Stable เพื่อแก้ปัญหาการทำงานร่วมกับ MSE
สืบเนื่องจากปัญหาโปรแกรม Microsoft Security Essentials (MSE) ของไมโครซอฟท์ทำการลบโปรแกรม Google Chrome ออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของมัลแวร์ที่ชื่อ PWS:Win32/Zbot ทำให้ล่าสุด กูเกิลได้ออกอัพเดท Google Chrome 14.0.835.187 Stable เวอร์ชันสำหรับระบบปฏิบัติการ Windows เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ โดย กูเกิลแนะนำให้ผู้ใช้ที่มีปัญหาเปิดโปรแกรม Google Chrome ไม่ได้ ให้ทำการอัพเดทซิกเนเจอร์ของ MSE เป็นเวอร์ชัน 1.113.672.0 หรือใหม่กว่าให้เรียบร้อย แล้วจึงทำการอัพเดท Google Chrome ทั้งนี้ ปัญหานี้ไม่ได้เป็นปัญหาด้านความปลอดภัยและไม่ได้เกิดจากโปรแกรม Google Chrome