File History ใน Windows 8 เสนอวิธีการใหม่ให้ผู้ใช้ในการปกป้องข้อมูลส่วนตัว ซึ่งมาแทนคุณสมบัติ Windows Backup และ Restore ใน Windows 7 โดยมันถูกออกแบบมาให้ตอบสนองกับความต้องการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนแปลงไปดังนี้
- ผู้ใช้คอมพิวเตอร์มีการใช้งานแบบเคลื่อนที่มากขึ้น File History จึงถูกออกแบบมาให้สนับสนุนการทำงานกับโน้ตบุ๊กซึ่งมีข้อจำกัดเกี่ยวกับระบบจ่ายไฟ หรือการเชื่อมต่อ/ไม่เชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายและอุปกรณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น
- ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทำการสร้างข้อมูลมากขึ้นและขึ้นอยู่ข้อมูลมากขึ้น File History จึงถูกออกแบบมาให้ปกป้องทั้งงานต่างๆ ที่ทำในปัจจุบันและข้อมูลต่างๆ ที่เคยสร้างขึ้นในอดีต
File History ช่วยให้ผู้ใช้สามารถกู้คืนไฟล์หรือโฟลเดอร์ในเวอร์ชันที่เจาะจงเวลา (Point in Time หรือ PiT) โดยแอพพลิเคชันการกู้คืนถูกออกแบบมาให้เสนอประสบการณ์การใช้งานที่น่าประทับใจ ทั้งการเบราซ์, การค้นหา, การดูตัวอย่าง และการกู้คืน
สำหรับบทความนี้จะเป็นการสาธิตการเซ็ตอัปและการตั้งค่า File History รวมถึงวิธีการกู้คืนไฟล์บน Windows 8 Release Preview ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1. ในหน้า Start หรือ Desktop ให้เลื่อนเคอร์เซอร์เม้าส์ไปบริเวณมุมบนขวาหรือมุมล่างขวาของหน้า Start หรือหน้าต่าง Desktop หรือกดปุ่ม Windows + C แล้วคลิก Search
2. ในหน้า Search ให้คลิก Settings จากนั้นพิมพ์ file history ดังรูปที่ 1 จากนั้นคลิกบน File History ดังรูปที่ 2
ทิป: หรือกดปุ่ม Windows + X หรือคลิกเม้าส์ขวาบริเวณมุมล่างซ้ายของหน้าจอจากนั้นคลิก Control Panel แล้วเลือก System and Security0 จากนั้นคลิกลิงก์ Save backup copies of your files with File History
รูปที่ 1
รูปที่ 2
3. ในกรณีที่ไม่ได้ต่ออุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอก File History จะแจ้งข้อความดังรูปที่ 3 จากนั้นให้ต่ออุปกรณ์เก็บข้อมูลแล้วทำการรีเฟรช จะได้หน้าต่างดังรูปที่ 4
รูปที่ 3
4. บนหน้าต่าง File History ดังรูปที่ 4 ให้คลิก Turn on จากนั้นในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Recommend a drive for File History ดังรูปที่ 5 ให้คลิก Yes (สามารถตั้งค่าภายหลังได้) หลังจากเปิดใช้งาน File History เสร็จจะได้หน้าต่างดังรูปที่ 6
รูปที่ 4
รูปที่ 5
รูปที่ 6
นอกจากนี้ยังสามารถเปิด File History ผ่านทาง AutoPlay (ต้องตั้งเป็น Ask me every time ก่อน) ได้โดยการต่ออุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอกจากนั้นคลิกหรือแตะบนการแจ้งเตือน Removable Disk (รูปที่ 7) จากนั้นคลิกหรือแตะบน Configure this drive for backup (รูปที่ 8)
รูปที่ 7
รูปที่ 8
Advanced Settings:
สำหรับการตั้งค่าขั้นสูงทำได้โดยการคลิกลิงก์ Advanced Settings ในคอลัมน์ซ้ายมือของหน้าต่าง File History ดังรูปที่ 6 จะได้หน้าต่าง Advanced Settings ดังรูปที่ 9 ให้ทำการตั้งค่าต่างๆ ตามความต้องการ จากนั้นคลิก Save Changes เพื่อบันทึกการตั้งค่า
Save copies of iles:
เป็นการกำหนดระยะเวลาในการสำเนาไฟล์ โดยค่าเริ่มต้นจะกำหนดเป็น 1 ชั่วโมง สามารถเลือกกำหนดได้ตั้งแต่ 10 นาที, 15 นาที, 20 นาที, 30 นาที, 1 ชั่วโมง (ค่าเริ่มต้น), 3 ชั่วโมง, 6 ชั่วโมง, 12 ชั่วโมง, และนานที่สุด 1 วัน
Size of offline cache:
เป็นการกำหนดขนาดแคชที่จะใช้เก็บไฟล์แบบออฟไลน์ โดยค่าเริ่มต้นจะกำหนดเป็น 5% ของพื้นที่ดิสก์ สามารถเลือกกำหนดได้ตั้งแต่ 2% ของพื้นที่ดิสก์, 5% ของพื้นที่ดิสก์ (ค่าเริ่มต้น), 10% ของพื้นที่ดิสก์ และสูงสุด 20% ของพื้นที่ดิสก์
Keep saved versions:
เป็นการกำหนดระยะเวลาที่จะเก็บไฟล์เวอร์ชัน โดยค่าเริ่มต้นจะกำหนดให้เก็บไฟล์ไว้ตลอกกาลโดยไม่มีการลบออก สามารถเลือกกำหนดได้ตั้งแต่ จนกว่าระบบต้องการพื้นที่, 1 เดือน, 3 เดือน, 6 เดือน 9 เดือน, 1 ปี, 2 ปี และตลอกกาล (ค่าเริ่มต้น)
รูปที่ 9
นอกจากสามารถตั้งค่าให้ File History ทำการลบไฟล์ตามเวลาที่กำหนดแล้ว ยังสามารถทำการลบด้วยตนเองได้โดยบนหน้าต่าง Advanced Settings ให้ทำการคลิกลิงก์ Clean up versions จากนั้นในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ File History Cleanup ให้เลือกรูปแบบที่ต้องการดังนี้
- All but the latest one เพื่อทำการลบทั้งหมดยกเว้นเวอร์ชันล่าสุด
- Older than 1 month เพื่อทำการลบเวอร์ชันที่เก่ากว่า 1 เดือน
- Older than 3 months เพื่อทำการลบเวอร์ชันที่เก่ากว่า 3 เดือน
- Older than 6 months เพื่อทำการลบเวอร์ชันที่เก่ากว่า 6 เดือน
- Older than 9 months เพื่อทำการลบเวอร์ชันที่เก่ากว่า 9 เดือน
- Older than 1 year (default) เพื่อทำการลบเวอร์ชันที่เก่ากว่า 1 ปี (ค่าเริ่มต้น)
- Older than 2 years เพื่อทำการลบเวอร์ชันที่เก่ากว่า 2 ปี
จากนั้นคลิก Clean up แล้วคลิก OK ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ File History Cleanup ดังรูปที่ 10
รูปที่ 10
รูปที่ 11
Select Drive:
วิธีการเพิ่มไดรฟ์สำหรับใช้เก็บข้อมูล File History ทำได้โดยการคลิกลิงก์ Select Drive ในคอลัมน์ซ้ายมือของหน้าต่าง File History ดังรูปที่ 6 จะได้หน้าต่าง Select Drive ดังรูปที่ 12 จากนั้นเลือกไดรฟ์จากรายชื่อใน Available Drive หรือเลือกเพิ่มไดรฟ์เครือข่ายโดยการคลิก Add network drive จากนั้นดำเนินการคำสั่งบนจอภาพ เสร็จแล้วคลิก OK
รูปที่ 12
Exclude Folder:
สำหรับการกำหนดโฟลเดอร์ที่ไม่ต้องการรวมใน File History นั้นทำได้โดยการคลิกลิงก์ Exclude Folder ในคอลัมน์ซ้ายมือของหน้าต่าง File History ดังรูปที่ 6 จากนั้นบนหน้าต่าง Exclude Folder ให้คลิก Add แล้วเลือกโฟลเดอร์ที่ไม่ต้องการรวมใน File History (สามารถเลือกหลายโฟลเดอร์ได้) เสร็จแล้วคลิก Save Changes
รูปที่ 13
Restore personal files:
การกู้คืนไฟล์หรือโฟลเดอร์ทำได้โดยการคลิกลิงก์ Restore personal files ในคอลัมน์ซ้ายมือของหน้าต่าง File History ดังรูปที่ 6 จากนั้นเลือกไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ต้องการ เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Restore ดังรูปที่ 14 เพื่อทำการการกู้คืนไฟล์หรือโฟลเดอร์
รูปที่ 14
Windows 8 RTM ออกสัปดาห์แรกเดือนสิงหาคม Windows 8 GA ออกปลายเดือนตุลาคม
ไมโครซอฟท์ได้ยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า Windows 8 TM จะออกในสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคมนี้ ส่วน Windows 8 GA นั้นจะออกในช่วงปลายเดือนตุลาคม อ่านรายละเอียด Windows 8 RTM โดยผู้ใช้ Windows รุ่นก่อนหน้าทั้ง Windows XP, Windows Vista และ Windows 7 สามารถอัปเกรดเป็น Windows 8 ได้แต่จะมีข้อจำกัดในบางอย่างและจะขึ้นอยู่กับเวอร์ชันและรุ่นที่ใช้ สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ เรื่องที่ต้องทราบในการอัปเกรด Windows 8
นอกจากนี้ ลูกค้าที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ Windows XP, Windows Vista หรือ Windows 7 สามารถอัปเกรดเป็น Windows 8 Pro ในราคาพิเศษเพียง $39.99 ซึ่งคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,240 บาท* เท่านั้น สำหรับรายละเอียดอ่านได้ที่ โปรแกรมอัปเกรด Windows 8 Pro
หมายเหตุ: * คิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 31 บาท ต่อ 1 เหรียญสหรัฐอเมริกา
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
Building Windows 8 - Protecting user files with File History
Copyright © 2012 TWA Blog. All Rights Reserved.
0 Comment:
Post a Comment