วิธีการลบไวรัส W32.Conficker หรือ W32.Downadup ด้วยตนเอง
วิธีการลบไวรัส w32.Conficker หรือ w32.Downadup ด้วยตนเอง มีขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1. ล็อกออนเข้าเครื่องด้วยโลคอลยูสเซอร์
หมายเหตุ:
ไม่แนะนำให้ทำการล็อกออนด้วยโดเมนยูสเซอร์ เนื่องจากมัลแวร์อาจจะใช้โดเมนยูสเซอร์ดังกล่าวในการแอคเซสทรัพยากรเครือข่ายเพื่อทำการแพร่ระบาด
ขั้นตอนที่ 2. ทำการหยุดบริการ Server service เพื่อการลบแอดมินแชร์ (คือแชร์โฟลเดอร์ชื่อ C$, D$, ADMIN$ เป็นต้น ซึ่งเป็นการแชร์สำหรับแอดมินใช้จัดการระบบ) ซึ่งจะเป็นหยุดการแพร่ระบาดของเวิร์มผ่านทางการแชร์
หมายเหตุ:
ควรทำการปิด Server service ชั่วคราวในระหว่างการแก้ไขมัลแวร์ รวมถึงบนเครื่องโปรดักชันเซิร์ฟเวอร์ หลังจากทำการแก้ไขมัลแวร์เสร็จแล้วจึงทำการเปิด Server service ใหม่
จากนั้นทำการหยุดบริการ Server service โดยใช้ Services Microsoft Management Console (MMC) ตามขั้นตอนดังนี้
1. ดำเนินการข้อใดข้อหนึ่งตามระบบวินโดวส์ที่ใช้ดังนี้
• ใน Windows Vista และ Windows Server 2008 ให้คลิก Start พิมพ์ services.msc ในกล่อง Start Search box จากนั้นคลิก services.msc ในรายการโปรแกรม
• ใน Windows 2000, Windows XP และ Windows Server 2003 ให้คลิก Start คลิก Run พิมพ์ services.msc จากนั้นคลิก OK
2. ในหน้าต่าง Services ในคอลัมน์ Name ให้ดับเบิลคลิกที่ Server
3. ในหน้าต่าง Server Properties (Local Computer) ในส่วน Services status ให้คลิกปุ่ม Stop
4. ในส่วน Startup type ให้เลือกเป็น Disabled
5. คลิก Apply แล้วคลิก OK แล้วปิดหน้าต่าง Services
ขั้นตอนที่ 3. ทำการหยุดบริการ Task Scheduler โดยดำเนินการข้อใดข้อหนึ่งตามระบบวินโดวส์ที่ใช้ดังนี้
• Windows 2000, Windows XP และ Windows Server 2003
การหยุดบริการ Task Scheduler บนระบบวินโดวส์ Windows 2000, Windows XP และ Windows Server 2003 มีขั้นตอนดังนี้
1. ให้คลิก Start คลิก Run พิมพ์ services.msc จากนั้นคลิก OK
2. ในหน้าต่าง Services ในคอลัมน์ Name ให้ดับเบิลคลิกที่ Task Scheduler
3. ในหน้าต่าง Task Scheduler Properties (Local Computer) ในส่วน Services status ให้คลิกปุ่ม Stop
4. ในส่วน Startup type ให้เลือกเป็น Disabled
5. คลิก Apply แล้วคลิก OK แล้วปิดหน้าต่าง Services
• Windows Vista และ Windows Server 2008
การหยุดบริการ Task Scheduler บนระบบวินโดวส์ Windows Vista และ Windows Server 2008 มีขั้นตอนดังนี้
1. คลิก Start พิมพ์ regedit ในกล่อง Start Search จากนั้นคลิก regedit.exe จากรายการโปรแกรม
2. ในหน้าต่างโปรแกรม Registry Editor ให้เนวิเกตไปยังคีย์ย่อย
HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Services\Schedule
3. ในส่วนดีเทลแพน ให้คลิกขวาที่ Start (ซึ่งเป็น REG_DWORD) จากนั้นคลิก Modify
4. ในไดอะล็อกบ็อกซ์ Edit DWORD Value ให้ใส่ค่าเป็น 4 ในกล่องใต้ Value Datadata เสร็จแล้วคลิก OK
5. ปิดโปรแกรม Registry Editor จากนั้นทำการรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์
ขั้นตอนที่ 4. ดาวน์โหลดและทำการติดตั้งแพตซ์ 958644 (MS08-067) โดยสามารอ่านรายละเอียดการดาวน์โหลดอัพเดทของวินโดวส์ทุกระบบได้ที่เว็บไซต์ http://www.microsoft.com/technet/security/Bulletin/MS08-067.mspx หรือดาวน์โหลดอัพเดทได้ตามรายละเอียดด้านล่าง
• Windows XP SP2 และ Windows XP SP3
• Windows Server 2003 SP1 และ Windows Server 2003 SP2
• Windows Vista และ Windows Vista SP1
ขั้นตอนที่ 5. ทำการรีเซ็ตรหัสผ่านของโลคอลแอดมินและโดเมนแอดมินใหม่ให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น
ขั้นตอนที่ 6. ในหน้าต่างโปรแกรม Registry Editor ให้เนวิเกตไปยังคีย์ย่อย HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows NT\CurrentVersion\SvcHost
ขั้นตอนที่ 7.ในส่วนดีเทลแพน ให้คลิกขวาที่ netsvcs จากนั้นคลิก Modify
ขั้นตอนที่ 8. ให้เลื่อนลงไปด้านล่างสุดของลิสต์ ถ้าคอมพิวเตอร์ติดไวรัส Conficker จะมีชื่อบริการของมัลแวร์ซึ่งใช้ชื่อแบบสุ่ม ตัวอย่างเช่น "axqmiijz"
ขั้นตอนที่ 9. ทำการลบบรรทัดที่อ้างอิงถึง Malware Service ตรวจสอบให้แน่ใว่าเว้นบรรทัดหนึ่งบรรทัดใต้ค่าที่ถูกต้องตัวสุดท้ายเสร็จแล้วคลิก OK
ขั้นตอนที่ 10. ทำการจำกัดเพอร์มิสชันบนรีจีสทรีคีย์ SVCHOST เพื่อป้องกันไม่ให้มัลแวร์สามรถทำการแก้ไขได้ ตามขั้นตอนดังนี้
หมายเหตุ:
* หลังจากกำจัดไวรัสเสร็จเรียบร้อยแล้วจะต้องทำการแก้ไขกลับไปเป็นค่าดีฟอลท์ดังเดิม
** ใน Windows 2000 จะต้องใช้โปรแกรม Regedt32 ในการตั้งค่าเพอร์มิสชันบนรีจีสทรีคีย์
1. ในหน้าต่างโปรแกรม Registry Editor ให้เนวิเกตไปยังคีย์ย่อย
HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows NT\CurrentVersion\Svchost
2. ในส่วนเนวิเกชันแพนให้คลิกขวาที่โฟลเดอร์ Svchost จากนั้นคลิก Permissions
3. ในไดอะล็อกบ็อกซ์ Permissions for SvcHost ให้คลิกปุ่ม Advanced
4. ในไดอะล็อกบ็อกซ์ Advanced Security Settings for SvcHost คลิก Add
5. ในไดอะล็อกบ็อกซ์ Select User, Computer or Group ให้พิมพ์ Everyone ในกล่องใต้ Enter the object name to select จากนั้นคลิก Check Names แล้วคลิก OK
6 .ในไดอะล็อกบ็อกซ์ Permissions Entry for SvcHost ในหัวข้อ Apply toให้เลือก This key only จากนั้นในหัวข้อ Full Control ที่อยู่ในส่วน Permission ให้คลิก Deny เสร็จแล้วคลิก OK จำนวน 2 ครั้ง
7. ในไดอะล็อกบ็อกซ์ Security ให้คลิก Yesy แล้วคลิก OK อีกครั้ง
ขั้นตอนที่ 11. จากในขั้นตอนที่ 8 ซึ่งจะได้ชื่อบริการของมัลแวร์ซึ่งใช้ชื่อแบบสุ่มคือ "axqmiijz" จากนั้นให้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
1. ในหน้าต่างโปรแกรม Registry Editor ให้เนวิเกตไปยังคีย์ย่อยตามชื่อบริการของมัลแวร์
HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Services\BadServiceName
ในตัวอย่างนี้คือ
HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Services\axqmiijz
2. ในส่วนเนวิเกชันแพนให้คลิกขวาที่โฟลเดอร์ตามชื่อ "Malware service" จากนั้นคลิก Permissions
3. ในไดอะล็อกบ็อกซ์ Permissions for "malware service" ให้คลิกปุ่ม Advanced
4. ในไดอะล็อกบ็อกซ์ Advanced Security Settings for "malware service" ให้คลิกเลือกเช็คบ็อกซ์ดังนี้
#Inherit from parent the permission entries that apply to child objects. Include these with entries explicitly defined here.
#Replace permission entries on all child objects with entries shown here that apply to child objects
5. คลิก Apply เสร็จแล้วคลิก OK จำนวน 2 ครั้ง
ขั้นตอนที่ 12. กดปุ่ม F5 เพื่ออัพเดทโปรแกรม Registry Editor ในดีเทลแพนให้แก้ไฟล์ "ServiceDll" ดังนี้
1. ให้ดับเบิลคลิกที่ ServiceDll
2. จากนั้นให้ดูพาธที่ไฟล์ DLL อ้างอิง ซึ่งจะมีลักษณะดังนี้
%SystemRoot%\System32\emzlqqd.dll
จากนั้นให้ทำการเปลี่ยนชื่อเป็น
%SystemRoot%\System32\emzlqqd.old
3. คลิก OK
ขั้นตอนที่ 13. ลบรีจีสทรี malware service จากคีย์ย่อย Run ตามขั้นตอนดังนี้
1. ในหน้าต่างโปรแกรม Registry Editor ให้เนวิเกตไปยังคีย์ย่อยดังนี้
HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Run
HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Run
2. ในคีย์ย่อยทั้ง 2 คีย์ ให้ทำการลบบรรทัดที่ขึ้นต้นด้วย "rundll32.exe" และพาธที่ไฟล์ DLL อ้างอิงในการโหลด "ServiceDll" ตามขั้นตอนที่ 12 ข้อที่ 2
3. ปิดโปรแกรม Registry Editor จากนั้นทำการรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์
ขั้นตอนที่ 14. ตรวจสอบไฟล์ Autorun.inf บนไดร์ฟทุกไดร์ฟในระบบ ซึ่งโดยทั่วไปไฟล์ Autorun.inf จะมีขนาด 1-2 KB และใช้โปรแกรม Notepad เปิดไฟล์ Autorun.inf โดยไฟล์ที่ถูกต้องจะมีลักษณะดังนี้
[autorun]
shellexecute=Servers\splash.hta *DVD*
icon=Servers\autorun.ico
ขั้นตอนที่ 15. ถ้าไฟล์ Autorun.inf มีลักษณะผิดปกติหรือน่าสงสัย ตัวอย่างเช่น มีการเอ็กซีคิวท์ไฟล์ .exe ให้ทำการลบทิ้ง
ขั้นตอนที่ 16. ทำการรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์
ขั้นตอนที่ 17. คอนฟิกให้วินโดวส์แสดงไฟล์ที่ถูกซ่อนไว้ (Hidden files) โดยการรันคำสั่งด้านล่างที่หน้าคอมมานด์พร็อมท์
reg.exe add HKLM\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Explorer\Advanced\Folder\Hidden\SHOWALL /v CheckedValue /t REG_DWORD /d 0x1 /f
ขั้นตอนที่ 18. ตั้งค่า Show hidden files and folders เพื่อให้แสดงไฟล์ที่ถูกซ่อนไว้ตามขั้นตอนดังนี้
1. ตามพาธที่ไฟล์ DLL อ้างอิงในการโหลด "ServiceDll" ตามขั้นตอนที่ 12 ข้อที่ 2 ตัวอย่าง
%systemroot%\System32\emzlqqd.dll
ในหน้าต่าง Windows Explorer ให้เปิดโฟลเดอร์ %systemroot%\System32 หรือโฟลเดอร์ที่มัลแวร์อยู่
2. ในหน้าต่าง Windows Explorer คลิก Tools แล้วคลิก Folder Options
3. ในไดอะล็อกบ็อกซ์ Folder Options คลิกแท็บ View
4. จากนั้นคลิกเลือกเช็คบ็อกซ์ Select the Show hidden files and folders
5. เสร็จแล้วคลิก OK
ขั้นตอนที่ 19. คลิกเลือกไฟล์ DLL
ขั้นตอนที่ 20. แก้ไขเพอร์มิสชันของไฟล์ DLL ให้ทุกคน (Everyone) มีสิทธิ์ Full Control ตามขั้นตอนดังนี้
1. คลิกขวาที่ไฟล์ DLL แล้วคลิก Properties
2. คลิกแท็บ Security
3. คลิก Everyone แล้วคลิกเลือกเช็คบ็อกซ์ Full Control ในคอลัมน์ Allow
4. เสร็จแล้วคลิก OK
ขั้นตอนที่ 21. ทำการลบไฟล์ DLL ของมัลแวร์ ตัวอย่างเช่น ทำการลบไฟล์ %systemroot%\System32\emzlqqd.dll
ขั้นตอนที่ 22. ทำการลบ AT-scheduled tasks ทั้งหมด โดยการรันคำสั่งด้านล่างที่หน้าคอมมานด์พร็อมท์
AT /Delete /Yes
ขั้นตอนที่ 23. เปิดใช้งานบริการ BITS, Automatic Updates, Error Reporting และWindows Defender โดยใช้ Services Microsoft Management Console (MMC) โดยดูวิธีการตามขั้นตอนที่ 2
ขั้นตอนที่ 24. ทำการดิสเอเบิล Autorun เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องกลับไปติดไวรัสอีก โดยดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
1. ดำเนินการตามข้อใดข้อหนึ่งตามระบบวินโดวส์ที่ใช้งานอยู่
* Windows 2000, Windows XP หรือ Windows Server 2003 ให้ติดตั้งอัพเดท 953252 (http://support.microsoft.com/kb/953252/) ก่อนทำการดิสเอเบิล Autorun
* Windows Vista หรือ Windows Server 2008 ห้ติดตั้งอัพเดท 950582 (http://support.microsoft.com/kb/950582/) ก่อนทำการดิสเอเบิล Autorun
หมายเหตุ:
อัพเดท 953252 และ 950582 ไม่เกี่ยวกับมัลแวร์ เป็นอัพเดทสำหรับการแก้ไขการทำงานของ Autorun
2. ทำการรันคำสั่งด้านล่างที่หน้าคอมมานด์พร็อมท์
reg.exe add HKLM\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\Explorer /v NoDriveTypeAutoRun /t REG_DWORD /d 0xff /f
ขั้นตอนที่ 25. ถ้ามีการติดตั้งโปรแกรม Windows Defender ให้ทำการรันคำสั่งด้านล่างที่หน้าคอมมานด์พร็อมท์ เพื่อให้ Windows Defender ทำการสตาร์ทโดยอัตโนมัติพร้อมวินโดวส์
reg.exe add HKLM\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Run /v "Windows Defender" /t REG_EXPAND_SZ /d "%ProgramFiles%\Windows Defender\MSASCui.exe –hide" /f
ขั้นตอนที่ 26. สำหรับผู้ที่ใช้ Windows Vista และ Windows Server 2008 ให้ทำการรันคำสั่งด้านล่างที่หน้าคอมมานด์พร็อมท์เพื่ออีนาเบิล TCP Receive Window Auto-tuning
netsh interface tcp set global autotuning=normal
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• http://support.microsoft.com/kb/962007
Manual Remove Conficker Downadup Virus
© 2009 Thai Windows Administrator, All Rights Reserved.
Wednesday, January 21, 2009
Home »
Virus Alert
» วิธีการลบไวรัส Conficker หรือ Downadup ด้วยตนเอง
7 Comment:
เก่งจังเลยค่ะ
พี่คะทำตามที่พี่แนะนำแล้วค่ะ ก็ยังไม่ได้เลยค่ะ มีวิธีอื่นอีกไหมคะพี
รบกวนด้วยค่ะ
ทดลองใช้ Removal Tool อ่านรายละเอียดได้ที่ http://thaiwinadmin.blogspot.com/2009/01/kb038.html และเมื่อทำการแก้ไขเสร็จแล้วให้ทำการอัพเดทวินโดวส์ด้วยครับ
หนูก็ไปเอา remving tool มาทั้งของ windows และก็ของ symantec แล้วก็ยังไม่ได้เรื่องเลยคะ ทั้ง update เป็น pack 3 แล้วก็ไม่หายค่ะ เลยไม่แน่ใจว่า หนูทำผิดตรงไหนไปหรือเปล่าคะ
ผมด้วยคับ มันอยู่ใน DNS.exe ของ server
ท่านที่ติดไวรัส conficker หรือ downadup สามารถแก้ไขโดยใช้ Removal Tool โดยอ่านรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ http://thaiwinadmin.blogspot.com/2009/01/kb038.html หรือทำการแก้ไขแบบแมนนวลโดยอ่านรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ http://thaiwinadmin.blogspot.com/2009/01/kb039.html
ป.ล. หากมีการเปิดใช้งาน System Restore ให้ทำการ Disable ก่อนทำการแก้ไขครับ
ขอบคุณมากๆ ครับ ผมได้กระทู้นี้แก้ปัญหาไวรัสที่ anti virus ตัวอื่นๆ เอาไม่ออกครับ ขอบคุณมากๆ ครับ
Post a Comment