Sunday, December 9, 2007

Windows Server Virtualization (Hyper-V)

รู้จักกับ Windows Server Virtualization หรือ Hyper-V
Windows Server Virtualization หรือ Hyper-V มีชื่อในการพัฒนาว่า Viridian ซึ่งไมโครซอฟท์พัฒนาขึ้นมาเพื่อรองรับการใช้งานด้าน Operating system platform ช่วยให้การใช้งานแบบเวอร์ชวลไลเซชันสามารถทำได้แบบ scalable, reliable, highly available ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

Windows Server Virtualization หรือ Hyper-V รวมเข้าเป็นฟีเจอร์หนึ่งใน Windows Server 2008 เรียกว่า Windows Server 2008 Hyper-V คือ ฟีเจอร์การทำเวอร์ชวลไลเซชันแบบ Hypervisor-base ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในระบบปฏิบัติการ Windows Server 2008 ซึ่งเป็นแบบครบวงจรในการใช้งานระบบเวอร์ชวลไลเซชัน ด้วยฟีเจอร์ Hyper-V ช่วยให้องค์กรลดค่าใช้จ่าย เพิ่มระดับการใช้ประโยชน์เซิร์ฟเวอร์ และการสร้างอินฟราสตรัคเจอร์แบบไดนามิค

Hyper-V นั้น ช่วยให้การใช้งานเป็นไดนามิคขึ้น มีความยืดหยุ่น มีความน่าเชื่อถือและสามารถขยายตัวได้ นอกจากนี้ยังสามารถรองรับการจัดการจากเครื่องมือจัดการระบบที่มีอยู่แล้วได้อีกด้วย

ลักษณะการใช้งาน Windows Server Hyper-V
ในปัจจุบัน การทำเวอร์ชวลไลเซชันระบบปฏิบัติการต่างๆ เช่น Windows, Linux และ อื่นๆ บน Server เพียงตัวเดียวนั้น ทำได้ง่ายขึ้น และมีข้อดีหลากหลายอย่าง เช่น ค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ และลด TCO ขององค์กรลง โดยใน Windows Server 2008 นั้น ได้มีฟีเจอร์ Hyper-V ซึ่งช่วยให้การใช้งานแบบ เวอร์ชวลไลเซชัน ที่สามารถนำไปปรับใช้งานให้เหมาะสมกับความต้องการได้หลากหลายและยืดหยุ่น

Hyper-V จะมีประโยชน์ในการใช้งานใน 4 ด้าน ด้วยกัน คือ Server Consolidation, Business Continuity, Test and Development, และ Dynamic Datacenter

Server Consolidation
การทำ Consolidation เซิร์ฟเวอร์หลายๆ ตัว มาทำการรันบนเซิร์ฟเวอร์เพียงตัวเดียว ประโยชน์หลักๆ ที่ องค์กรได้รับ คือ ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้าน TCO ลดค่าใช้จ่ายด้าน TCO ลงได้อย่างมาก เช่น ค่าบำรุงรักษาระบบฮาร์ดแวร์ ค่าไฟฟ้า ค่าระบบปรับอากาศเป็นต้น และประโยชน์รองลงมาคือ ทำให้มีระบบที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น สามารถทำการโยกย้ายเซิร์ฟเวอร์เสมือนได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถทำการใช้งานแบบ 32 บิต และ 64 บิต ร่วมกันได้โดยไม่ยึดติดกับระบบฮาร์ดแวร์

Business Continuity และ Disaster Recovery
ความต่อเนื่องทางธุรกิจนั้นเป็นประเด็นสำคัญในการดำเนินธุรกิจขององค์กร โดยส่วนประกอบที่สำคัญของความต่อเนื่องทางธุรกิจคือการกู้คืนระบบเมื่เกิดวิกฤติ (Disaster Recovery) โดยใน Windows Server 2008, นั้น จะมีฟีเจอร์ Hyper-V ซึ่งสามารถรองรับการ การทำ Disaster Recovery (DR) ได้ง่ายและเร็วขึ้นทำให้การเกิด Data Loss ลดลง และใน Windows Server 2008 นั้น ยังความสามารถในการจัดการจากระยะไกลที่ดีอีกด้วย

Test and Development
การทดสอบและพัฒนานั้น เป็นการใช้ประโยชน์อับดับแรกจากการใช้งานแบบ Virtualization เนื่องจากการใช้งาน Virtual Machine นั้น จะมีความปลอดภัย และตัดปัจจัยอื่นๆ ออกจากการพัฒนาได้ง่าย ด้วยฟีเจอร์ Hyper-V ใน Windows Server 2008 ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการทดสอบและพัฒนาระบบ

Dynamic Datacenter
ด้วยฟีเจอร์ Hyper-V ใน Windows Server 2008 นั้น เมื่อใช้งานร่วมกับโซลูชันการจัดการระบบอื่นๆ เช่น Microsoft System Center จะช่วยให้การใช้งานระบบทำได้เร็วขึ้น และเป็นแบบระบบที่จัดการตัวเองได้ (Self-Manage) โดยใช้ฟีเจอร์อย่างเช่น Automated Virtual Machine Reconfiguration, Flexible Resource Control และ Quick Migration ทำให้สามารถทำการได้แบบไดนามิค ไม่เพียงแต่เพี่อการแก้ไขปัญหาเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ในการเพิ่มผลผลิตได้อีกด้วย

ฟีเจอร์หลักของ Windows Server Hyper-V
Hyper-V ใน Windows Server 2008 นั้น เป็นเทคโนโลยีการทำเวอร์ชวลไลเซชันแบบใหม่ ที่ช่วยให้ผู้ใช้ใช้งานระบบ Virtual Machine ได้อย่างเต็มความสามารถ ทำการรันระบบปฏิบัติการหลายๆ ตัวพร้อมกัน และจัดการทั้ง Virtual Machine and Physical Resources ด้วยเครื่องมือเดียวกัน โดยฟีเจอร์หลักของ Windows Server Hyper-V มีดังนี้

New and improved architecture
ด้วยสถาปัตยกรรมใหม่แบบ 64-bit Micro-kernelized Hypervisor ช่วยให้ Hyper-V สามารถรองรับอุปกรณ์ต่างๆได้มากขึ้น และมีประสิทธิภพและความปลอดภัยเพิ่มขึ้น

Broad OS support
สามารถรองรับการรันระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกันในเวลาพร้อมๆ กันได้ รวมถึง 32 บิต 64 บิต ในระบบปฏิบัติการต่างๆ เช่น Windows Linux เป็นต้น

SMP support
รองรับการใช้งานได้สูงสุดถึง 4 ซีพียู (SMP) ในแต่ละ Virtual Machine ทำให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่โดยเฉพาะการใช้แอพพลิเคชันแบบ Multi-threaded บน Virtual Machine

Memory support
Hyper-V นั้นทำให้ Virtual Machine แต่ละตัวสามารถรองรับหน่วยความจำได้มากขึ้น ทำให้สามารถรองรับโหลดงานได้มากขึ้น

Improved storage access
จากการ Hyper-V นั้นสามารถรองรับการแอคเซสดิสก์แบบ Pass-through และการรองรับ SAN และการแอคเซสดิสก์ดิสก์ภายใน ทำให้การคอนฟิกระบบ Storage มีความยืดหยุ่น และใช้งานระบบ Storage ได้เต็มที่

Network load balancing
Hyper-V จะรวมความสามารถในด้าน Virtual Switch แบบใหม่ ซึ่งสามารถทำการคอนฟิกเซอร์วิส Windows Network Load Balancing (NLB) เพื่อทำบาลานซ์โหลดระหว่าง Virtual Machine บน Server ต่างๆ

New hardware sharing architecture
ด้วยสถาปัตยกรรมใหม่ Virtual service provider/virtual service client (VSP/VSC) ของ Hyper-V ช่วยเพิ่มการใช้งานระบบทรัพยากรหลักมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การใช้งาน Disk, Networking, Video เป็นต้น

Quick migration
Hyper-V นั้นช่วยให้การไมเกรตระบบ Virtual Machine จาก Physical Host ไปยังระบบอื่นทำไดเร็วขึ้นทำให้ดาวน์ไทม์ลดลง

Virtual Machine snapshot
Hyper-V นั้นรองรับการทำสแนปชอร์ต ของ Virtual Machine ที่กำลังรันอยู่ได้ ทำให้การเรียกกลับไปยังสถานะก่อนหน้าทำได้ง่ายขึ้น เพิ่มความสามารถในการสำรองและการกู้คืนระบบ

Scalability
จากความสามารถของ Virtual Machine ในการรองรับจำนวนคอร์ได้หลายคอร์และซีพียูได้หลายตัว และการรองรับการใช้งานหน่วยความจำได้เพิ่มขึ้น ทำให้สามารถขยายการใช้งานได้ใหญ่ขึ้น และทำการไมเกรดได้ง่ายขึ้น

Extensible
Hyper-V รองรับการใช้งานอินเทอร์เฟช Windows Management Instrumentation (WMI) และ APIs ทำให้ไม่ต้องยึดตอดกับซอฟต์แวร์ และการพัฒนา Tools, Utilities ต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากการทำเวอร์ชวลไลเซชันสามารถทำได้เร็วขึ้น

บทความโดย: Windows Administrator Blog

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
Windows Server Hyper-V: A Key Feature of Windows Server 2008

© 2007 Windows Administrator Blog, All Rights Reserved.

0 Comment: