เทคนิคการติดตั้ง Windows 7 พร้อมคีย์บอร์ดภาษาไทย
วันนี้มีเทคนิคการติดตั้ง Windows 7 พร้อมคีย์บอร์ดภาษาไทย (Thai language keyboard) มาฝากท่านที่กำลังจะทำการติดตั้ง Windows 7 ใหม่ สำหรับท่านที่ทำการติดตั้งแล้วแต่ยังไม่สามารถใช้งานภาษาไทยได้สามารถอ่านวิธีการติดตั้งคีย์บอร์ดภาษาไทยได้จากบทความเรื่อง How to add Thai Language keyboard in Windows 7
การติดตั้ง Windows 7 พร้อมคีย์บอร์ดภาษาไทยมีขั้นตอนดังนี้
1. ทำการบูตเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยแผ่นดีวีดี Windows Setup แล้วรอจน Windows is loading files และ Starting Windows ทำงานแล้วเสร็จ
2. ในหน้าต่าง Install Windows ดังรูปด้านล่างตั้งตามรายละเอียดด้านล่าง เสร็จแล้วคลิก Next เพื่อไปยังขั้นตอนต่อไป
Language to install: English
Time and currency format: English (United States)
Keyboard or input method: Thai Kedmanee
3. ในหน้าต่างถัดไปให้คลิก Install Now เพื่อทำเริ่มการติดตั้ง Windows 7 จากนั้นทำการติดตั้งตามคำสั่งบนจอภาพจนถึงหน้า Set Up Windows
4. ในหน้า Set Up Windows ดังรูปด้านล่าง จะเป็นหน้าสำหรับกำหนดชื่อผู้ใช้ (User name) และตั้งชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer name) ตั้งชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ เนื่องจากภาษาปัจจุบันเป็นภาษาไทย ให้ทำการเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษโดยการกดปุ่ม Ctrl + Shift จากนั้นพิมพ์ชื่อผู้ใช้ที่ต้องการในช่องใต้ Type a user name: และพิมพ์ชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการในช่องใต้ Type a computer name: เสร็จแล้วคลิก Next
5. ในหน้าต่าง Set a password for your account จะเป็นหน้าสำหรับกำหนดรหัสผ่านให้ชื่อผู้ใช้ที่สร้างในขั้นตอนที่ 4 ใส่รหัสผ่านที่ต้องการ 2 ครั้ง ในช่องใต้ Type a password (recommended): และ Retype your password: จากนั้นพิมพ์ข้อมูลช่วยจำรหัสผ่านในช่อง Type a password hint: เสร็จแล้วคลิก Next จากนั้นทำการติดตั้งตามคำสั่งบนจอภาพจนแล้วเสร็จ
การสลับภาษาไทย-อังกฤษด้วย Grave Accent
หลังจากทำการติดตั้ง Windows 7 ตามวิธีการด้านบนแล้วเสร็จจะสามารถใช้งานได้ทั้งคีย์บอร์ดภาษาไทยและภาษาอังกฤษแต่ภาษาดีฟอลท์จะเป็นภาษาไทยซึ่งสามารถทำการคอนฟิกให้เป็นภาษาอังกฤษได้ตามขั้นตอนดังนี้
1. คลิก Start คลิก Control Panel ในหัวข้อ Clock, Language, and Region ให้คลิกลิงก์ Change keyboards or other input method
2. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Region and Language คลิกแท็บ Keyboards and Languages แล้วคลิกปุ่ม Change keyboards
3. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Text Services and Input Languages บนแท็บ General ในหัวข้อ Default input language ให้ตั้งค่าเป็น English (United State) - US เสร็จแล้วคลิก OK
4. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Region and Language คลิก OK แล้วปิดหน้าต่าง Control Panel เพื่อจบการทำงาน
หลังจากทำการภาษาดีฟอลท์เป็นภาษาอังกฤษเสร็จแล้ว แต่การสลับระหว่างภาษาอังกฤษ-ไทยยังจะต้องกดปุ่ม Ctrl + Shift ซึ่งสามารถคอนฟิกให้การสลับโดยการกดปุ่ม Grave Accent(~) ตามขั้นตอนดังนี้
1. คลิก Start คลิก Control Panel ในหัวข้อ Clock, Language, and Region ให้คลิกลิงก์ Change keyboards or other input method
2. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Region and Language คลิกแท็บ Keyboards and Languages แล้วคลิกปุ่ม Change keyboards
3. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Text Services and Input Languages คลิกแท็บ Advanced Key Settings แล้วคลิกปุ่ม Change Key Sequence
4. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Change Key Sequence ในส่วน Switch Keyboard Layout คลิก Grave Accent (~) ในส่วน Switch Input Language ให้ปล่อยตามค่าดีฟอลท์ เสร็จแล้วคลิก OK
5. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Text Services and Input Languages ให้คลิก OK
6. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Region and Language คลิก OK แล้วปิดหน้าต่าง Control Panel เพื่อจบการทำงาน
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
• Install Windows 7 Ultimate Edition
• Install Windows 7 Enterprise Edition
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Pages - Menu
▼
Pages - Menu
▼
Pages
▼
Friday, April 30, 2010
การติดตั้ง Microsoft Office Professional Plus 2010
ไมโครซอฟท์เปิดให้ลูกค้าแบบ Volume License (VL) ที่มีไลเซนส์ Software Assurance (SA) สามารถดาวน์โหลด Office 2010 RTM ได้แล้วเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Office 2010 RTM Available to Volume License Customers) สำหรับบทความนี้จะแสดงขั้นตอนการติดตั้ง Microsoft Office Professional Plus 2010 เวอร์ชัน 32-bit บน Windows 7 Ultimate ครับ
Thursday, April 29, 2010
Free Download Manager 3.0.852 available for download
Free Download Manager 3.0.852 เวอร์ชันล่าสุดของสุดยอดโปรแกรมจัดการการดาวน์โหลด
Free Download Manager หรือ FDM โปรแกรมสำหรับใช้จัดการการดาวน์โหลดข้อมูลแบบโอเพนซอร์ส (Open-Source) สามารถใช้งานได้ฟรีภายใต้ไลเซนส์แบบ GPL และทางผู้พัฒนารับรองว่ามีความปลอดภัยจาก Spyware/ Adware 100% สำหรับตัวผมเองนั้นได้ใช้งาน FDM มาตั้งแต่เวอร์ชัน 1.0 จนพัฒนามาถึง 3.0 ในปัจจุบัน ซึ่งจากที่ใช้มาอย่างยาวนานผมขอยกให้เป็นสุดยอดโปรแกรมช่วยดาวน์โหลดข้อมูล โดยล่าสุดออกเวอร์ชันใหม่คือ Free Download Manager 3.0.852 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2553
FDM มีฟีเจอร์ต่างๆ มากมายหลายอย่าง สามารถรองรับการดาวน์โหลดได้หลากหลายแบบ เช่น การดาวน์โหลดครั้งละไฟล์ การดาวน์โหลดครั้งละหลายๆ ไฟล์ หรือการดาวน์โหลดทั้งเว็บไซต์ และรองรับโปรโตคอลมาตรฐานอย่าง HTTP, HTTPS, FTP รวมถึง BitTorent
คุณสมบัติใหม่ใน Free Download Manager 3.0.x
1. GNU General Public License
FDM 3.0 นั้นพัฒนาภายใต้ไลเซนส์แบบ GNU Public License
2. BitTorrent support
FDM 3.0 รองรับการดาวน์โหลดด้วยโปรโตคอล BitTorrent บนระบบ Windows 2000/XP/2003/Vista
3. Upload manager: easy way to share your files
Upload manager ที่ได้รับการปรับปรุงให้สามารถทำการอัพโหลด (Upload) ข้อมูลขึ้นอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น
4. Flash video download
รองรับการดาวน์โหลดไฟล์ video จากเว็บไซต์ต่าง ตัวอย่างเช่น Youtube, Google Video และอื่นๆ โดยสามารถบันทึก video เป็นฟอร์แมต .flv หรือทำการแปลง (Convert) เป็นฟอร์แมตอื่นๆ ได้
5. Remote Control
FDM 3.0 รองรับการควบคุมจากระยะไกลผ่านทางอินเทอร์เน็ต ทำให้สามารถดูรายละเอียดการดาวน์โหลดที่กำลังแอคทีฟ หรือการดาวน์โหลดที่เสร็จแล้วได้โดยไม่ต้องนั่งอยู่หน้าเครื่องที่ดาวน์โหลด
6. Portable mode
FDM 3.0 ได้เพิ่มโหมด Portable ทำให้สะดวกในการใช้งาน โดยสามารถพกพาใส่แฟลชไดรฟ์ไปใช้งานบนคอมพิวเตอร์เครื่องต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องทำการติดตั้ง
คุณสมบัติของ Free Download Manager
1. Enhanced audio/video files support
สามารถเปิดดูตัวอย่างไฟล์ audio/video ก่อนที่จะทำการดาวน์โหลด และหลังจากดาวน์โหลดเสร็จแล้วสามารถทำการแปลงฟอร์แมตของไฟล์ audio/video ได้
2. Absolutely free and 100% safe
FDM สามารถใช้งานได้ฟรีภายใต้ไลเซนส์แบบ GNU Public License และมีความปลอดภัยจาก Adware/Spyware แน่นอน 100%
3. Download acceleration
FDM ใช้เทคนิคการแบ่งไฟล์หรือข้อมูลออกเป็นส่วนๆ แล้วจึงทำการดาวน์โหลด ทำให้การดาวน์โหลดข้อมูลมีความเร็วเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถคอนฟิกการทำงานให้เหมาะสมกับระบบเครือข่ายที่ใช้ งานได้
4. Resuming broken downloads
สามารถดาวน์โหลดต่อเนื่องจากการดาวน์โหลดที่ค้างจากการดาวน์โหลดครั้งก่อน หน้าได้ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาดาวน์โหลดไฟล์หรือข้อมูลใหม่ทั้งหมด มีประโยชน์มากในกรณีที่ต้องดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่มากๆ
5. Smart file management and powerful scheduler
FDM มีระบบการจัดการไฟล์ที่ฉลาดทำให้การจัดโครงสร้างไฟล์ที่ดาวน์โหลดทำได้ง่าย และยังมีระบบจัดตารางการดาวน์โหลดที่แข็งแกร่งทำให้การตั้วตารางเวลาดาวน์ โหลดไฟล์ หยุดดาวน์โหลดชั่วคราว ทำได้ง่าย
6. Adjusting traffic usage
ผู้ใช้ยังสามารถคอนฟิกโหมดการทำงานให้เหมาะสมกับการความเร็วของเชื่อมต่อกับ ระบบเครือข่ายได้
7. Site Explorer
รองรับการดูโครงสร้างโฟลเดอร์ของเว็บไซต์ ทำให้การดาวน์โหลดไฟล์หรือโฟลเดอร์ทำได้ง่ายขึ้น
8. HTML Spider
FDM มีเครื่องมือ HTML Spider ซึ่งช่วยให้การดาวน์โหลดเว็บทำได้ง่ายขึ้น โดยสามารถเลือกว่าจะดาวน์โหลดเฉพาะเว็บบางหน้า หรือดาวน์โหลดทั้งเว็บไซต์ หรือดาวน์โหลดเฉพาะประเภทไฟล์ที่กำหนดได้
9. Simultaneous downloading from several mirrors
FDM สามารถทำการดาวน์โหลดไฟล์จากหลายๆ มิเรอร์ไซต์ได้ในเวลาเดียวกัน
10. Zip files partial download
FDM สามารถดาวน์โหลดเฉพาะส่วนที่ต้องการในไฟล์ที่ถูกบีบอัด (Zip) ไว้ได้ ทำให้ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดทั้งไฟล์โดยไม่จำเป็น
11. Active spyware and adware protection through active communication among users
FDM มีระบบป้องกัน Spyware และ Adware จากไฟล์ที่ดาวน์โหลด ผ่านทางเครือข่ายชุมชนผู้ใช้
12. Multi language support
FDM มีในเวอร์ชันภาษาต่างๆ ถึง 30 ภาษา ที่สำคัญมีเวอร์ชันภาษาไทยด้วย
System requirements
FDM สามารถรองรับระบบปฏิบัติการ Windows 2003, Windows Vista, Windows 95, Windows Me, Windows 2000, Windows XP, Windows 98 (เฉพาะเวอร์ชัน 32 บิต เท่านั้น)
How to Download Free Download Manager (FDM)
ใครที่สนใจใช้งาน สามารถดาวน์โหลดโปรแกรม FDM ได้ฟรีจากเว็บไซต์ต่างๆ ดังนี้
• Download Free Download Manager 3.0.852 (Full version / 6.4Mb)
• Download Free Download Manager 3.0.852 (Lite version / 2.1Mb)
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Free Download Manager Features
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Free Download Manager หรือ FDM โปรแกรมสำหรับใช้จัดการการดาวน์โหลดข้อมูลแบบโอเพนซอร์ส (Open-Source) สามารถใช้งานได้ฟรีภายใต้ไลเซนส์แบบ GPL และทางผู้พัฒนารับรองว่ามีความปลอดภัยจาก Spyware/ Adware 100% สำหรับตัวผมเองนั้นได้ใช้งาน FDM มาตั้งแต่เวอร์ชัน 1.0 จนพัฒนามาถึง 3.0 ในปัจจุบัน ซึ่งจากที่ใช้มาอย่างยาวนานผมขอยกให้เป็นสุดยอดโปรแกรมช่วยดาวน์โหลดข้อมูล โดยล่าสุดออกเวอร์ชันใหม่คือ Free Download Manager 3.0.852 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2553
FDM มีฟีเจอร์ต่างๆ มากมายหลายอย่าง สามารถรองรับการดาวน์โหลดได้หลากหลายแบบ เช่น การดาวน์โหลดครั้งละไฟล์ การดาวน์โหลดครั้งละหลายๆ ไฟล์ หรือการดาวน์โหลดทั้งเว็บไซต์ และรองรับโปรโตคอลมาตรฐานอย่าง HTTP, HTTPS, FTP รวมถึง BitTorent
คุณสมบัติใหม่ใน Free Download Manager 3.0.x
1. GNU General Public License
FDM 3.0 นั้นพัฒนาภายใต้ไลเซนส์แบบ GNU Public License
2. BitTorrent support
FDM 3.0 รองรับการดาวน์โหลดด้วยโปรโตคอล BitTorrent บนระบบ Windows 2000/XP/2003/Vista
3. Upload manager: easy way to share your files
Upload manager ที่ได้รับการปรับปรุงให้สามารถทำการอัพโหลด (Upload) ข้อมูลขึ้นอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น
4. Flash video download
รองรับการดาวน์โหลดไฟล์ video จากเว็บไซต์ต่าง ตัวอย่างเช่น Youtube, Google Video และอื่นๆ โดยสามารถบันทึก video เป็นฟอร์แมต .flv หรือทำการแปลง (Convert) เป็นฟอร์แมตอื่นๆ ได้
5. Remote Control
FDM 3.0 รองรับการควบคุมจากระยะไกลผ่านทางอินเทอร์เน็ต ทำให้สามารถดูรายละเอียดการดาวน์โหลดที่กำลังแอคทีฟ หรือการดาวน์โหลดที่เสร็จแล้วได้โดยไม่ต้องนั่งอยู่หน้าเครื่องที่ดาวน์โหลด
6. Portable mode
FDM 3.0 ได้เพิ่มโหมด Portable ทำให้สะดวกในการใช้งาน โดยสามารถพกพาใส่แฟลชไดรฟ์ไปใช้งานบนคอมพิวเตอร์เครื่องต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องทำการติดตั้ง
คุณสมบัติของ Free Download Manager
1. Enhanced audio/video files support
สามารถเปิดดูตัวอย่างไฟล์ audio/video ก่อนที่จะทำการดาวน์โหลด และหลังจากดาวน์โหลดเสร็จแล้วสามารถทำการแปลงฟอร์แมตของไฟล์ audio/video ได้
2. Absolutely free and 100% safe
FDM สามารถใช้งานได้ฟรีภายใต้ไลเซนส์แบบ GNU Public License และมีความปลอดภัยจาก Adware/Spyware แน่นอน 100%
3. Download acceleration
FDM ใช้เทคนิคการแบ่งไฟล์หรือข้อมูลออกเป็นส่วนๆ แล้วจึงทำการดาวน์โหลด ทำให้การดาวน์โหลดข้อมูลมีความเร็วเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถคอนฟิกการทำงานให้เหมาะสมกับระบบเครือข่ายที่ใช้ งานได้
4. Resuming broken downloads
สามารถดาวน์โหลดต่อเนื่องจากการดาวน์โหลดที่ค้างจากการดาวน์โหลดครั้งก่อน หน้าได้ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาดาวน์โหลดไฟล์หรือข้อมูลใหม่ทั้งหมด มีประโยชน์มากในกรณีที่ต้องดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่มากๆ
5. Smart file management and powerful scheduler
FDM มีระบบการจัดการไฟล์ที่ฉลาดทำให้การจัดโครงสร้างไฟล์ที่ดาวน์โหลดทำได้ง่าย และยังมีระบบจัดตารางการดาวน์โหลดที่แข็งแกร่งทำให้การตั้วตารางเวลาดาวน์ โหลดไฟล์ หยุดดาวน์โหลดชั่วคราว ทำได้ง่าย
6. Adjusting traffic usage
ผู้ใช้ยังสามารถคอนฟิกโหมดการทำงานให้เหมาะสมกับการความเร็วของเชื่อมต่อกับ ระบบเครือข่ายได้
7. Site Explorer
รองรับการดูโครงสร้างโฟลเดอร์ของเว็บไซต์ ทำให้การดาวน์โหลดไฟล์หรือโฟลเดอร์ทำได้ง่ายขึ้น
8. HTML Spider
FDM มีเครื่องมือ HTML Spider ซึ่งช่วยให้การดาวน์โหลดเว็บทำได้ง่ายขึ้น โดยสามารถเลือกว่าจะดาวน์โหลดเฉพาะเว็บบางหน้า หรือดาวน์โหลดทั้งเว็บไซต์ หรือดาวน์โหลดเฉพาะประเภทไฟล์ที่กำหนดได้
9. Simultaneous downloading from several mirrors
FDM สามารถทำการดาวน์โหลดไฟล์จากหลายๆ มิเรอร์ไซต์ได้ในเวลาเดียวกัน
10. Zip files partial download
FDM สามารถดาวน์โหลดเฉพาะส่วนที่ต้องการในไฟล์ที่ถูกบีบอัด (Zip) ไว้ได้ ทำให้ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดทั้งไฟล์โดยไม่จำเป็น
11. Active spyware and adware protection through active communication among users
FDM มีระบบป้องกัน Spyware และ Adware จากไฟล์ที่ดาวน์โหลด ผ่านทางเครือข่ายชุมชนผู้ใช้
12. Multi language support
FDM มีในเวอร์ชันภาษาต่างๆ ถึง 30 ภาษา ที่สำคัญมีเวอร์ชันภาษาไทยด้วย
System requirements
FDM สามารถรองรับระบบปฏิบัติการ Windows 2003, Windows Vista, Windows 95, Windows Me, Windows 2000, Windows XP, Windows 98 (เฉพาะเวอร์ชัน 32 บิต เท่านั้น)
How to Download Free Download Manager (FDM)
ใครที่สนใจใช้งาน สามารถดาวน์โหลดโปรแกรม FDM ได้ฟรีจากเว็บไซต์ต่างๆ ดังนี้
• Download Free Download Manager 3.0.852 (Full version / 6.4Mb)
• Download Free Download Manager 3.0.852 (Lite version / 2.1Mb)
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Free Download Manager Features
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Wednesday, April 28, 2010
Google Chrome 4.1.249.1064 for Windows: Bug and Security Fixes
Google ออก Chrome 4.1.249.1064 for Windows เพื่อแก้ไขบั๊กและปัญหาความปลอดภัยร้ายแรง
Google ออก Chrome 4.1.249.1064 for Windows ซึ่งถือเป็น Stable Update เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ออกเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 โดยเวอร์ชันใหม่ล่าสุดนี้มีการแก้ไขบั๊ก (Bug) และปัญหาเรื่องความปลอดภัย (Security Fixes) หลายอย่างที่พบในเวอร์ชัน 4.1.249.1045 ตามรายละเอียดด้านล่าง
คุณสมบัติใหม่ใน Google Chrome 4.1.249.1064
ใน Google Chrome 4.1.249.1064 มีการเพิ่มคุณสมบัติใหม่ (นับจากเวอร์ชัน 3.0) ดังต่อไปนี้
• Extensions
• Bookmark sync
• Enhanced developer tools
• HTML5: Notifications, Web Database, Local Storage, WebSockets, Ruby support
• v8 performance improvements
• Skia performance improvements
• Full ACID3 pass, due to re-enabled remote font support (with added defense against bugs in operating system font libraries)
• HTTP byte range support
• New security feature: "Strict Transport Security" support
• Experimental new anti-reflected-XSS feature called "XSS Auditor"
ฟีเจอร์ที่ได้รับการอัพเดทใน Google Chrome 4.1.249.1064
ใน Google Chrome 4.1.249.1064 มีการอัพเดทฟีเจอร์ต่างๆ ดังนี้
• Google Chrome was not using the correct path for the Java plugin for Java Version 6 Update 20.
• 4.1.249.1059 was much slower on JavaScript benchmarks than 4.1.249.1045. (Issue 42158)
การแก้ปัญหาด้านความปลอดภัยใน Google Chrome 4.1.249.1064
ใน Google Chrome 4.1.249.1064 มีการแก้ปัญหาด้านความปลอดภัย ดังต่อไปนี้
• [40445] High Cross-origin bypass in Google URL (GURL). (High)
• [40487] High Memory corruption in HTML5 Media handling. (High)
• [42294] High Memory corruption in font handling. Credit: wushi of team509. (High)
หมายเหตุ: bug 40445 นั้นถูกค้นพบโดย Jordi Chancel และได้เงินรางวัลจาก Google จำนวน $1,000, bug 40487 นั้นถูกค้นพบโดย kDavid Bloom of Google Security Team และ bug 42294 นั้นถูกค้นพบโดย wushi of team509 และได้เงินรางวัลจาก Google จำนวน $500
การดาวน์โหลดและการติดตั้ง Google Chrome 4.1.249.1064
Google Chrome 4.1.249.1064 นั้นสามารถทำงานได้บน Windows XP, Windows Vista และ Windows 7 โดยวิธีการติดตั้งนั้น โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กรณี ดังต่อไปนี้
กรณีที่ 1 ยังไม่มีการติดตั้ง Google Chrome อยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถติดตั้งโปรแกรม Google Chrome จากอินเทอร์เน็ตผ่านทางบราวเซอร์ โดยเปิดไปที่เว็บไซต์ www.google.com/chrome จากนั้นดำเนินการคำสั่งบนจอภาพ
กรณีที่ 2 ยังไม่มีการติดตั้ง Google Chrome อยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมติดตั้ง Google Chrome จากเว็บไซต์ Download Google Chrome 4.1.249.1064 มาทำการติดตั้งด้วยตนเอง
กรณีที่ 3 มีการติดตั้ง Google Chrome เวอร์ชัน 4.0.249.1059 หรือ เวอร์ชันก่อนหน้าบนเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ก่อนแล้ว สามารถทำการอัพเดทเป็นเวอร์ชัน 4.1.249.1064 ได้ตามขั้นตอนดังนี้
1. เปิดโปรแกรม Google Chrome จากนั้นคลิกที่ไอคอนรูปเครื่องมือ แล้วเลือกคำสั่ง About Google Chrome
2. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ About Google Chrome ให้คลิก Update Now แล้วรอจนโปรแกรมทำการติดตั้งแล้วเสร็จ
3. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Please close all Chrome windows and restart Chrome for this change to take effect ให้คลิก OK
4. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ About Google Chrome ให้คลิก OK อีกครั้ง
5. ทำการรีสตาร์ทโปรแกรม Google Chrome เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงมีผล
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
• Google Chrome Releases
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Google ออก Chrome 4.1.249.1064 for Windows ซึ่งถือเป็น Stable Update เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ออกเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 โดยเวอร์ชันใหม่ล่าสุดนี้มีการแก้ไขบั๊ก (Bug) และปัญหาเรื่องความปลอดภัย (Security Fixes) หลายอย่างที่พบในเวอร์ชัน 4.1.249.1045 ตามรายละเอียดด้านล่าง
คุณสมบัติใหม่ใน Google Chrome 4.1.249.1064
ใน Google Chrome 4.1.249.1064 มีการเพิ่มคุณสมบัติใหม่ (นับจากเวอร์ชัน 3.0) ดังต่อไปนี้
• Extensions
• Bookmark sync
• Enhanced developer tools
• HTML5: Notifications, Web Database, Local Storage, WebSockets, Ruby support
• v8 performance improvements
• Skia performance improvements
• Full ACID3 pass, due to re-enabled remote font support (with added defense against bugs in operating system font libraries)
• HTTP byte range support
• New security feature: "Strict Transport Security" support
• Experimental new anti-reflected-XSS feature called "XSS Auditor"
ฟีเจอร์ที่ได้รับการอัพเดทใน Google Chrome 4.1.249.1064
ใน Google Chrome 4.1.249.1064 มีการอัพเดทฟีเจอร์ต่างๆ ดังนี้
• Google Chrome was not using the correct path for the Java plugin for Java Version 6 Update 20.
• 4.1.249.1059 was much slower on JavaScript benchmarks than 4.1.249.1045. (Issue 42158)
การแก้ปัญหาด้านความปลอดภัยใน Google Chrome 4.1.249.1064
ใน Google Chrome 4.1.249.1064 มีการแก้ปัญหาด้านความปลอดภัย ดังต่อไปนี้
• [40445] High Cross-origin bypass in Google URL (GURL). (High)
• [40487] High Memory corruption in HTML5 Media handling. (High)
• [42294] High Memory corruption in font handling. Credit: wushi of team509. (High)
หมายเหตุ: bug 40445 นั้นถูกค้นพบโดย Jordi Chancel และได้เงินรางวัลจาก Google จำนวน $1,000, bug 40487 นั้นถูกค้นพบโดย kDavid Bloom of Google Security Team และ bug 42294 นั้นถูกค้นพบโดย wushi of team509 และได้เงินรางวัลจาก Google จำนวน $500
การดาวน์โหลดและการติดตั้ง Google Chrome 4.1.249.1064
Google Chrome 4.1.249.1064 นั้นสามารถทำงานได้บน Windows XP, Windows Vista และ Windows 7 โดยวิธีการติดตั้งนั้น โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กรณี ดังต่อไปนี้
Google Chrome 4.1.249.1064 for Windows Stable Update
กรณีที่ 1 ยังไม่มีการติดตั้ง Google Chrome อยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถติดตั้งโปรแกรม Google Chrome จากอินเทอร์เน็ตผ่านทางบราวเซอร์ โดยเปิดไปที่เว็บไซต์ www.google.com/chrome จากนั้นดำเนินการคำสั่งบนจอภาพ
กรณีที่ 2 ยังไม่มีการติดตั้ง Google Chrome อยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมติดตั้ง Google Chrome จากเว็บไซต์ Download Google Chrome 4.1.249.1064 มาทำการติดตั้งด้วยตนเอง
กรณีที่ 3 มีการติดตั้ง Google Chrome เวอร์ชัน 4.0.249.1059 หรือ เวอร์ชันก่อนหน้าบนเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ก่อนแล้ว สามารถทำการอัพเดทเป็นเวอร์ชัน 4.1.249.1064 ได้ตามขั้นตอนดังนี้
1. เปิดโปรแกรม Google Chrome จากนั้นคลิกที่ไอคอนรูปเครื่องมือ แล้วเลือกคำสั่ง About Google Chrome
About Google Chrome
2. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ About Google Chrome ให้คลิก Update Now แล้วรอจนโปรแกรมทำการติดตั้งแล้วเสร็จ
3. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Please close all Chrome windows and restart Chrome for this change to take effect ให้คลิก OK
4. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ About Google Chrome ให้คลิก OK อีกครั้ง
5. ทำการรีสตาร์ทโปรแกรม Google Chrome เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงมีผล
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
• Google Chrome Releases
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Office 2010 RTM Available to Volume License Customers
ลูกค้าแบบ Volume License (VL) สามารถดาวน์โหลด Office 2010 RTM ได้แล้ว
หลังจากได้เปิดให้สมาชิก MSDN และ TechNet ดาวน์โหลด Office 2010 RTM เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 (4/22/2010 8:45:06 AM -UTC) ที่ผ่านมา ล่าสุด วันที่ 27 เมษายน 2553 ไมโครซอฟท์ก็เปิดให้ลูกค้าแบบ Volume License (VL) ที่มีไลเซนส์ Software Assurance (SA) สามารถดาวน์โหลด Office 2010 RTM ได้แล้ว โดยจะมีให้ดาวน์โหลดใน 2 เวอร์ชัน คือ Office Professional Plus 2010 32-bit และ Office Standard 2010 32-bit และจะมีให้ดาวน์โหลดใน 10 ภาษา ดังนี้
สำหรับลูกค้าที่ดาวน์โหลด Office Professional Plus 2010 32-bit นั้นจะมีซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องให้ดาวน์โหลด 3 ตัวคือ
สำหรับลูกค้าที่ดาวน์โหลด Office Standard 2010 32-bit นั้นจะมีซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องให้ดาวน์โหลด 2 ตัวคือ
นอกจากนี้ ยังมีซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องให้ดาวน์โหลดอีก 2 ตัว คือ SharePoint Server 2010 Enterprise และ SharePoint Server 2010 Standard
ท่านใดเป็นลูกค้าแบบ Volume License (VL) และมีไลเซนส์ Software Assurance (SA) สามารถดาวน์โหลด Office 2010 ได้จากเว็บไซต์ Volume License Service Center (VLSC)
บทความโดย: Windows Administrator Blog
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
หลังจากได้เปิดให้สมาชิก MSDN และ TechNet ดาวน์โหลด Office 2010 RTM เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 (4/22/2010 8:45:06 AM -UTC) ที่ผ่านมา ล่าสุด วันที่ 27 เมษายน 2553 ไมโครซอฟท์ก็เปิดให้ลูกค้าแบบ Volume License (VL) ที่มีไลเซนส์ Software Assurance (SA) สามารถดาวน์โหลด Office 2010 RTM ได้แล้ว โดยจะมีให้ดาวน์โหลดใน 2 เวอร์ชัน คือ Office Professional Plus 2010 32-bit และ Office Standard 2010 32-bit และจะมีให้ดาวน์โหลดใน 10 ภาษา ดังนี้
- Arabic
- Chinease Simplified
- Chinease Traditional
- Chinease Traditional Hong Kong
- English
- French
- German
- Japanese
- Korean
- Spanish
สำหรับลูกค้าที่ดาวน์โหลด Office Professional Plus 2010 32-bit นั้นจะมีซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องให้ดาวน์โหลด 3 ตัวคือ
- Office Communicator 2007 R2 32-bit
- Business Contact Manager 2010 32-bit
- Office Web Apps 2010 64-bit
สำหรับลูกค้าที่ดาวน์โหลด Office Standard 2010 32-bit นั้นจะมีซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องให้ดาวน์โหลด 2 ตัวคือ
- Business Contact Manager 2010 32Bit
- Office Web Apps 2010 64Bit
นอกจากนี้ ยังมีซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องให้ดาวน์โหลดอีก 2 ตัว คือ SharePoint Server 2010 Enterprise และ SharePoint Server 2010 Standard
ท่านใดเป็นลูกค้าแบบ Volume License (VL) และมีไลเซนส์ Software Assurance (SA) สามารถดาวน์โหลด Office 2010 ได้จากเว็บไซต์ Volume License Service Center (VLSC)
บทความโดย: Windows Administrator Blog
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Tuesday, April 27, 2010
Install Windows Server 2003 on HP Compaq dx2700
วิธีการติดตั้ง Windows Server 2003 บนเครื่องคอมพิวเตอร์ HP Compaq dx2700
สืบเนื่องจากการที่ผมมีงานทดสอบซอฟต์แวร์บน Windows Server 2003 จึงจำเป็นต้องทำการติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ว่างซึ่งเป็นเครื่อง HP Compaq dx2700 ซึ่งมีฮาร์ดดิสก์แบบ SATA ขนาด 160 GB ผลปรากฏว่าประสบปัญหาไม่สามารถทำการติดตั้งได้ โดยหลังจากทำการก็อปปี้ไฟล์สำหรับติดตั้งระบบในเท็กซ์โหมดแล้วเสร็จในระหว่างที่ทำการรีสตาร์ทเพื่อเข้าสู่การติดตั้ง Windows Server 2003 ในโหมด GUI จะเกิดความผิดพลาดว่า Windows could not start because of a computer disk hardware configuration problem
สำหรับวิธีการแก้ไขนั้น จากการสืบค้นบนอินเทอร์เน็ตผมพบคำแนะนำ 2-3 วิธี แต่วิธีที่ง่ายและได้ผลคือ วิธีการเซ็ตโหมดของฮาร์ดดิสก์ SATA ให้เป็น Native และทำการดิสเอเบิลฮาร์ดดิสก์ใน CMOS ก่อนดำเนินการติดตั้ง Windows Server 2003 ตามขั้นตอนดังนี้
1. ทำการสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ จากนั้นในหน้าที่แสดงโลโก้ HP ให้กดปุ่ม F10 = Setup เพื่อเข้าระบบ BIOS
2. ในหน้า HP Compaq BIOS business desktop Setup Utility ให้เลือกหัวข้อ Standard CMOS Fatures
3. ในหน้า Standard CMOS Fatures ให้เลือกหัวข้อ SATA Port 0/1 Working Mode แล้วกดปุ่ม Enter จากนั้นตั้งค่าเป็น Native เสร็จแล้วกดปุ่ม Enter
4. ในหน้า Standard CMOS Fatures ให้เลือกพอร์ต SATA Port 0 (หรือพอร์ทอื่นที่ฮาร์ดดิสก์ SATA ต่ออยู่) แล้วกดปุ่ม Enter จากนั้นในหน้า SATA Port 0 ให้เลือก SATA Port 0 (ค่าดีฟอลท์จะเป็น Auto) แล้วกดปุ่ม Enter จากนั้นตั้งค่าเป็น None เสร็จแล้วกดปุ่ม Enter
5. กดปุ่ม Esc จำนวน 2 ครั้ง เพื่อกลับไปยังหน้า HP Compaq BIOS business desktop Setup Utility จากนั้นเลือก Save & Exit Setup แล้วกดปุ่ม Y เพื่อยืนยันการบันทึก
6. จากนั้นทำการบูทเครื่องด้วยแผ่นซีดีติดตั้ง Windows Server 2003 และทำการติดตั้งตามปกติ
7. หลังจากทำการก็อปปี้ไฟล์สำหรับติดตั้งแล้วเสร็จเครื่องจะทำการรีสตาร์ท จากนั้นในหน้าที่แสดงโลโก้ HP ให้กดปุ่ม F10 = Setup เพื่อเข้าระบบ BIOS
8. ดำเนินการเหมือนขั้นตอนที่ 4 แต่ให้เปลี่ยนการตั้งค่า SATA Port 0 (หรือพอร์ทอื่นที่ฮาร์ดดิสก์ SATA ต่ออยู่) เป็น Auto
9. ดำเนินการเหมือนขั้นตอนที่ 5
10. ทำการติดตั้ง Windows Server 2003 ในโหมด GUI จนแล้วเสร็จ
หลังจากทำการติดตั้ง Windows Server 2003 เสร็จแล้วจะต้องทำการติดตั้งไดรเวอร์ของ Chipset และ Network สำหรับท่านที่ไม่มีแผ่นซีดีไดรเวอร์ สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ HP Compaq Dx2700 Drivers
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• orafin
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
สืบเนื่องจากการที่ผมมีงานทดสอบซอฟต์แวร์บน Windows Server 2003 จึงจำเป็นต้องทำการติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ว่างซึ่งเป็นเครื่อง HP Compaq dx2700 ซึ่งมีฮาร์ดดิสก์แบบ SATA ขนาด 160 GB ผลปรากฏว่าประสบปัญหาไม่สามารถทำการติดตั้งได้ โดยหลังจากทำการก็อปปี้ไฟล์สำหรับติดตั้งระบบในเท็กซ์โหมดแล้วเสร็จในระหว่างที่ทำการรีสตาร์ทเพื่อเข้าสู่การติดตั้ง Windows Server 2003 ในโหมด GUI จะเกิดความผิดพลาดว่า Windows could not start because of a computer disk hardware configuration problem
HP Compaq dx2700
สำหรับวิธีการแก้ไขนั้น จากการสืบค้นบนอินเทอร์เน็ตผมพบคำแนะนำ 2-3 วิธี แต่วิธีที่ง่ายและได้ผลคือ วิธีการเซ็ตโหมดของฮาร์ดดิสก์ SATA ให้เป็น Native และทำการดิสเอเบิลฮาร์ดดิสก์ใน CMOS ก่อนดำเนินการติดตั้ง Windows Server 2003 ตามขั้นตอนดังนี้
1. ทำการสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ จากนั้นในหน้าที่แสดงโลโก้ HP ให้กดปุ่ม F10 = Setup เพื่อเข้าระบบ BIOS
2. ในหน้า HP Compaq BIOS business desktop Setup Utility ให้เลือกหัวข้อ Standard CMOS Fatures
3. ในหน้า Standard CMOS Fatures ให้เลือกหัวข้อ SATA Port 0/1 Working Mode แล้วกดปุ่ม Enter จากนั้นตั้งค่าเป็น Native เสร็จแล้วกดปุ่ม Enter
4. ในหน้า Standard CMOS Fatures ให้เลือกพอร์ต SATA Port 0 (หรือพอร์ทอื่นที่ฮาร์ดดิสก์ SATA ต่ออยู่) แล้วกดปุ่ม Enter จากนั้นในหน้า SATA Port 0 ให้เลือก SATA Port 0 (ค่าดีฟอลท์จะเป็น Auto) แล้วกดปุ่ม Enter จากนั้นตั้งค่าเป็น None เสร็จแล้วกดปุ่ม Enter
5. กดปุ่ม Esc จำนวน 2 ครั้ง เพื่อกลับไปยังหน้า HP Compaq BIOS business desktop Setup Utility จากนั้นเลือก Save & Exit Setup แล้วกดปุ่ม Y เพื่อยืนยันการบันทึก
6. จากนั้นทำการบูทเครื่องด้วยแผ่นซีดีติดตั้ง Windows Server 2003 และทำการติดตั้งตามปกติ
7. หลังจากทำการก็อปปี้ไฟล์สำหรับติดตั้งแล้วเสร็จเครื่องจะทำการรีสตาร์ท จากนั้นในหน้าที่แสดงโลโก้ HP ให้กดปุ่ม F10 = Setup เพื่อเข้าระบบ BIOS
8. ดำเนินการเหมือนขั้นตอนที่ 4 แต่ให้เปลี่ยนการตั้งค่า SATA Port 0 (หรือพอร์ทอื่นที่ฮาร์ดดิสก์ SATA ต่ออยู่) เป็น Auto
9. ดำเนินการเหมือนขั้นตอนที่ 5
10. ทำการติดตั้ง Windows Server 2003 ในโหมด GUI จนแล้วเสร็จ
หลังจากทำการติดตั้ง Windows Server 2003 เสร็จแล้วจะต้องทำการติดตั้งไดรเวอร์ของ Chipset และ Network สำหรับท่านที่ไม่มีแผ่นซีดีไดรเวอร์ สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ HP Compaq Dx2700 Drivers
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• orafin
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Download Windows 7 Start Button Changer 2.5
เปลี่ยนปุ่ม Start ของ Windows 7 ง่ายๆ ด้วย Windows 7 Start Button Changer 2.5
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
ใน Windows 7 นั้น ปุ่ม Start ถือว่าเป็นจุดแรกที่สะดุดตาของผู้ใช้ เนื่องจากมีลักษณะเป็น Orb (มีลักษณะเป็นปุ่มนูนแบบลูกโลก) และจะเปล่งแสงเมื่อนำเม้าส์ไปอยู่เหนือปุ่ม แต่สำหรับท่านที่เบื่อกับปุ่ม Start แบบดังเดิมก็สามารถทำการเปลี่ยนเป็นรูปแบบที่ชื่นชอบได้ง่ายๆ โดยใช้โปรแกรมชื่อ Windows 7 Start Button Changer ซึ่งเป็นฟรีแวร์พัฒนาโดยทีม The Windows Club (ผู้พัฒนาเป็นเด็กอายุเพียง 12 ปี)
สำหรับเวอร์ชันปัจจุบันของ Windows 7 Start Button Changer คือ 2.5 สามารถดาวน์โหลดฟรีจากเว็บไซต์ Download Windows 7 Start Button Changer 2.5 โดยโปรแกรมนี้จะมีรูปแบบ Start Orb ให้เลือกใช้งานจำนวน 10 แบบด้วยกัน นอกจากนี้ ถ้าทำการเปลี่ยนแปลงแล้วไม่เป็นที่ถูกใจสามารถทำการย้อนกลับไปเป็นแบบดั้งเดิมได้ง่ายเนื่องจากโปรแกรมจะทำการแบ็คอัพรูปแบบเดิมเก็บไว้
วิธีการใช้งานโปรแกรม Windows 7 Start Button Changer
หลังจากทำการดาวน์โหลดโปรแกรม Windows 7 Start Button Changer เสร็จเรียบร้อยแล้วให้ทำการแตกไฟล์ ZIP จากนั้นใช้งานได้ตามขั้นตอนดังนี้
1. ในโฟลเดอร์ที่เก็บไฟล์ซึ่งได้จากการแตกไฟล์ ZIP ให้ดับเบิลคลิกที่ไฟล์ Windows 7 Start Button Changer 2.5.exe (หากมีข้อความแสดงผิดพลาดว่า unhandled exception ให้ปิดโปรแกรมแล้วทำการรันใหม่โดยคลิกขวาแล้วเลือก Run as administrator)
2. ในหน้าต่างโปรแกรม Windows 7 Start Button Changer 2.5 ให้คลิกลิงก์ Select & Change Start Button (กรอบสีน้ำเงิน)
3. จากนั้นในหน้าต่าง Open new start orb bitmap ให้คลิกเลือกรูปแบบ Orb ที่ต้องการซึ่งโปรแกรมจะมีมาให้จำนวน 10 รูปแบบ เสร็จแล้วคลิก Open
หลังจากดำเนินการเสร็จปุ่ม Start ของ Windows 7 จะเปลี่ยนเป็นรูปแบบที่ทำการเลือกดังรูปที่ 3. ซึ่งเลือก Start Orb รูปแบบที่ 8
สำหรับวิธีการเปลี่ยนปุ่ม Start ของ Windows 7 กลับเป็นแบบเดิมทำได้โดยในหน้าต่างโปรแกรมWindows 7 Start Button Changer 2.5 ดังรูปที่ 1. ให้คลิกลิงก์ Restore Original Explorer Backup (กรอบสีแดง)
ข้อแนะนำ
1. ก่อนทำการเปลี่ยนจาก Start Orb แบบที่ปรับแต่งเองจากแบบหนึ่งไปยังอีกแบบหนึ่ง ให้ทำการรีสโตร์ ปุ่ม Start ของ Windows 7 กลับไปเป็นแบบดั้งเดิมก่อนทุกครั้ง
2. ควรทำสร้างจุด System Restore ก่อนทำการเปลี่ยนแปลงทุกๆ ครั้ง เพื่อจะใช้ในการรีสโตร์ระบบในกรณีระบบเกิดปัญหา
3. ในกรณีที่เกิดปัยหาไฟล์ explorer.exe เสีย ให้แก้ไขโดยการกด Ctrl+Shift+Esc เพื่อเปิด Task Manager จากนั้นคลิกเมนู File แล้วคลิก New Task จากนั้นในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Create New Task ให้พิมพ์ cmd ในช่อง Open เสร็จแล้วคลิก Run ในหน้าต่างคอมมานด์พร็อมท์ให้พิมพ์ sfc /scannow แล้วกดปุ่ม Enter รอจนการทำงานแล้วเสร็จ จากนั้นให้ทำการรีสตาร์ทระบบ
4. บนระบบ Windows x64 นั้นให้ทำการรันโดยคลิกขวาแล้วเลือก "Run as administrator"
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• The Windows Club
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
ใน Windows 7 นั้น ปุ่ม Start ถือว่าเป็นจุดแรกที่สะดุดตาของผู้ใช้ เนื่องจากมีลักษณะเป็น Orb (มีลักษณะเป็นปุ่มนูนแบบลูกโลก) และจะเปล่งแสงเมื่อนำเม้าส์ไปอยู่เหนือปุ่ม แต่สำหรับท่านที่เบื่อกับปุ่ม Start แบบดังเดิมก็สามารถทำการเปลี่ยนเป็นรูปแบบที่ชื่นชอบได้ง่ายๆ โดยใช้โปรแกรมชื่อ Windows 7 Start Button Changer ซึ่งเป็นฟรีแวร์พัฒนาโดยทีม The Windows Club (ผู้พัฒนาเป็นเด็กอายุเพียง 12 ปี)
สำหรับเวอร์ชันปัจจุบันของ Windows 7 Start Button Changer คือ 2.5 สามารถดาวน์โหลดฟรีจากเว็บไซต์ Download Windows 7 Start Button Changer 2.5 โดยโปรแกรมนี้จะมีรูปแบบ Start Orb ให้เลือกใช้งานจำนวน 10 แบบด้วยกัน นอกจากนี้ ถ้าทำการเปลี่ยนแปลงแล้วไม่เป็นที่ถูกใจสามารถทำการย้อนกลับไปเป็นแบบดั้งเดิมได้ง่ายเนื่องจากโปรแกรมจะทำการแบ็คอัพรูปแบบเดิมเก็บไว้
วิธีการใช้งานโปรแกรม Windows 7 Start Button Changer
หลังจากทำการดาวน์โหลดโปรแกรม Windows 7 Start Button Changer เสร็จเรียบร้อยแล้วให้ทำการแตกไฟล์ ZIP จากนั้นใช้งานได้ตามขั้นตอนดังนี้
1. ในโฟลเดอร์ที่เก็บไฟล์ซึ่งได้จากการแตกไฟล์ ZIP ให้ดับเบิลคลิกที่ไฟล์ Windows 7 Start Button Changer 2.5.exe (หากมีข้อความแสดงผิดพลาดว่า unhandled exception ให้ปิดโปรแกรมแล้วทำการรันใหม่โดยคลิกขวาแล้วเลือก Run as administrator)
2. ในหน้าต่างโปรแกรม Windows 7 Start Button Changer 2.5 ให้คลิกลิงก์ Select & Change Start Button (กรอบสีน้ำเงิน)
รูปที่ 1.
3. จากนั้นในหน้าต่าง Open new start orb bitmap ให้คลิกเลือกรูปแบบ Orb ที่ต้องการซึ่งโปรแกรมจะมีมาให้จำนวน 10 รูปแบบ เสร็จแล้วคลิก Open
รูปที่ 2.
หลังจากดำเนินการเสร็จปุ่ม Start ของ Windows 7 จะเปลี่ยนเป็นรูปแบบที่ทำการเลือกดังรูปที่ 3. ซึ่งเลือก Start Orb รูปแบบที่ 8
รูปที่ 3.
สำหรับวิธีการเปลี่ยนปุ่ม Start ของ Windows 7 กลับเป็นแบบเดิมทำได้โดยในหน้าต่างโปรแกรมWindows 7 Start Button Changer 2.5 ดังรูปที่ 1. ให้คลิกลิงก์ Restore Original Explorer Backup (กรอบสีแดง)
ข้อแนะนำ
1. ก่อนทำการเปลี่ยนจาก Start Orb แบบที่ปรับแต่งเองจากแบบหนึ่งไปยังอีกแบบหนึ่ง ให้ทำการรีสโตร์ ปุ่ม Start ของ Windows 7 กลับไปเป็นแบบดั้งเดิมก่อนทุกครั้ง
2. ควรทำสร้างจุด System Restore ก่อนทำการเปลี่ยนแปลงทุกๆ ครั้ง เพื่อจะใช้ในการรีสโตร์ระบบในกรณีระบบเกิดปัญหา
3. ในกรณีที่เกิดปัยหาไฟล์ explorer.exe เสีย ให้แก้ไขโดยการกด Ctrl+Shift+Esc เพื่อเปิด Task Manager จากนั้นคลิกเมนู File แล้วคลิก New Task จากนั้นในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Create New Task ให้พิมพ์ cmd ในช่อง Open เสร็จแล้วคลิก Run ในหน้าต่างคอมมานด์พร็อมท์ให้พิมพ์ sfc /scannow แล้วกดปุ่ม Enter รอจนการทำงานแล้วเสร็จ จากนั้นให้ทำการรีสตาร์ทระบบ
4. บนระบบ Windows x64 นั้นให้ทำการรันโดยคลิกขวาแล้วเลือก "Run as administrator"
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• The Windows Club
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Monday, April 26, 2010
How to add gadgets to Windows 7 desktop
การใช้งานแกดเจ็ท (Gadget) บน Windows 7
แกดเจ็ท (Gadget) คือโปรแกรมขนาดเล็กที่มีฟังก์ชันการทำงานเฉพาะทางซึ่งสามารถนำมาแสดงไว้บนหน้าเดสก์ท็อปได้ เช่น นาฬิกา เครื่องคิดเลข โดยแกดเจ็ทนั้นมีมาพร้อมกับ Windows Vista และใน Windows Vista นั้นจะทำการแสดงแกดเจ็ทบนหน้าเดสก์ท็อปโดยดีฟอลท์ แต่ใน Windows 7 นั้นจะไม่ทำการแสดงแกดเจ็ทบนหน้าเดสก์ท็อปโดยดีฟอลท์ ดังนั้นถ้าหากใครต้องการใช้งานจะต้องทำการเปิิดแบบแมนนวลตามขั้นตอนดังนี้
1. คลิกขวาบริเวณพื้นที่ว่างบนเดสก์ท็อปแล้วเลือก Gadgets
2. ในหน้าต่าง Gadgets ให้ดับเบิลคลิกแกดเจ็ทที่ต้องการ หรือคลิกเม้าส์ค้างบนแกดเจ็ทที่ต้องการแล้วลากไปวางบทเดสก์ท็อป
3. ปิดหน้าต่าง Gadgets แล้วทำการปรับตำแหน่งการจัดวางแกดเจ็ทโดยการคลิกเม้าส์ค้างแล้วลากไปวางยังตำแหน่งที่ต้องการ
ทั้งนี้ แกดเจ็ทบางตัวจะสามารถทำการปรับแต่งค่าได้โดยการคลิกเม้าส์บนแกดเจ็ทแล้วทำการตั้งค่าตามความต้องการ สำหรับวิธีการปิดแกดเจ็ททำได้โดยคารคลิกเม้าส์บนแกดเจ็ทแล้วคลิกเครื่องหมายกากบาท
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
แกดเจ็ท (Gadget) คือโปรแกรมขนาดเล็กที่มีฟังก์ชันการทำงานเฉพาะทางซึ่งสามารถนำมาแสดงไว้บนหน้าเดสก์ท็อปได้ เช่น นาฬิกา เครื่องคิดเลข โดยแกดเจ็ทนั้นมีมาพร้อมกับ Windows Vista และใน Windows Vista นั้นจะทำการแสดงแกดเจ็ทบนหน้าเดสก์ท็อปโดยดีฟอลท์ แต่ใน Windows 7 นั้นจะไม่ทำการแสดงแกดเจ็ทบนหน้าเดสก์ท็อปโดยดีฟอลท์ ดังนั้นถ้าหากใครต้องการใช้งานจะต้องทำการเปิิดแบบแมนนวลตามขั้นตอนดังนี้
1. คลิกขวาบริเวณพื้นที่ว่างบนเดสก์ท็อปแล้วเลือก Gadgets
2. ในหน้าต่าง Gadgets ให้ดับเบิลคลิกแกดเจ็ทที่ต้องการ หรือคลิกเม้าส์ค้างบนแกดเจ็ทที่ต้องการแล้วลากไปวางบทเดสก์ท็อป
3. ปิดหน้าต่าง Gadgets แล้วทำการปรับตำแหน่งการจัดวางแกดเจ็ทโดยการคลิกเม้าส์ค้างแล้วลากไปวางยังตำแหน่งที่ต้องการ
ทั้งนี้ แกดเจ็ทบางตัวจะสามารถทำการปรับแต่งค่าได้โดยการคลิกเม้าส์บนแกดเจ็ทแล้วทำการตั้งค่าตามความต้องการ สำหรับวิธีการปิดแกดเจ็ททำได้โดยคารคลิกเม้าส์บนแกดเจ็ทแล้วคลิกเครื่องหมายกากบาท
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Microsoft Fix it Center Beta Now Live
Microsoft เปิดให้บริการเว็บไซต์ Fix it Center (Beta)
Microsoft เปิดให้บริการ Fix it Center ซึ่งเป็นบริการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์ ในการแก้ไขปัญหาที่พบได้บ่อยในการใช้งานโดยอัตโนมัติแก่ผู้ใช้ทั่วไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตามการใช้บริการนั้นจะต้องทำการ Sign in ด้วยแอคเคาท์ Windows Live ID และบริการดังกล่าวนี้ยังคงอยู่ในเฟสของเวอร์ชัน Beta
บริการ Fix it Center นั้นสามารถช่วยแก้ไขปัญหาทั่วไปในการใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows 7, Windows Vista และ Windows XP และโปรแกรมแกรม Windows Media Player และ Internet Explorer โดยโซลูชั่นต่างๆ (ขึ้นอยู่กับการเลือกแคททากอรี) ดังนี้
• Windows 7
1. Microsoft Automated Troubleshooters
2. Microsoft Fix it Solutions
3. Microsoft Knowledge Base Articles
4. Help and How-to Information
5. Community Forums
6. Other Microsoft Information
• Windows Vista
1. Microsoft Automated Troubleshooters
2. Microsoft Fix it Solutions
3. Microsoft Knowledge Base Articles
• Windows XP
1. Microsoft Fix it Solutions
2. Microsoft Knowledge Base Articles
• Windows Media Player
1. Help and How-to Information
• Internet Explorer
1. Microsoft Automated Troubleshooters
2. Microsoft Knowledge Base Articles
สำหรับปัญหานั้นจะแบ่งออกเป็นแคททากอรี (Category) ตามการเลือกระบบปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์ที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยปัญหาเกี่ยวกับการใช้งาน Windows 7, Windows Vista และ Windows XP นั้นจะมี 10 แคททากอรี ดังนี้
• Desktop and personalization
• Files, folders and search
• Hardware and drivers
• Install, upgrade and activate
• Music and sound
• Networking, e-mail and getting online
• Performance and maintenance
• Pictures and video
• Security, privacy and user accounts
• System repair and recovery
สำหรับปัญหาเกี่ยวกับการใช้งาน Windows Media Player จะมี 3 แคทกอรี ดังนี้
• Getting started
• Media library
• Other
สำหรับปัญหาเกี่ยวกับการใช้งาน Internet Explorer จะมี 4 แคทกอรี ดังนี้
• Top issues
• Setup
• Troubleshooting
• Other
วิธีการใช้บริการ Fix it Center
การใช้บริการ Fix it Center มีขั้นตอนดังนี้
1. ทำการ Sign in เข้าเว็บไซต์ Fix it Center
2. ในหัวข้อ Find solutions ให้คลิกเลือกระบบปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์ที่ต้องการการช่วยเหลือจาก Microsoft Fix it Center
3. ในส่วน Category ให้คลิกเลือกแคทกอรีที่ต้องการ
4. ในส่วน Find Solutions ให้คลิกเลือกหัวข้อโซลูชั่นที่ต้องการ
5. จากนั้นคลิกเลือกหัวข้อปัญหา ตัวอย่างเช่น "How to disable simple file sharing and how to set permissions on a shared folder in Windows XP"
6. ในหน้าเว็บไซต์รายละเอียดปัญหาให้แล้วคลิกปุ่ม Microsoft Fix it จากนั้นในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ File Download ให้คลิก Run แล้วดำเนินการตามขั้นตอนบนจอภาพจนแล้วเสร็จ
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Softpedia
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Microsoft เปิดให้บริการ Fix it Center ซึ่งเป็นบริการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์ ในการแก้ไขปัญหาที่พบได้บ่อยในการใช้งานโดยอัตโนมัติแก่ผู้ใช้ทั่วไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตามการใช้บริการนั้นจะต้องทำการ Sign in ด้วยแอคเคาท์ Windows Live ID และบริการดังกล่าวนี้ยังคงอยู่ในเฟสของเวอร์ชัน Beta
บริการ Fix it Center นั้นสามารถช่วยแก้ไขปัญหาทั่วไปในการใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows 7, Windows Vista และ Windows XP และโปรแกรมแกรม Windows Media Player และ Internet Explorer โดยโซลูชั่นต่างๆ (ขึ้นอยู่กับการเลือกแคททากอรี) ดังนี้
• Windows 7
1. Microsoft Automated Troubleshooters
2. Microsoft Fix it Solutions
3. Microsoft Knowledge Base Articles
4. Help and How-to Information
5. Community Forums
6. Other Microsoft Information
• Windows Vista
1. Microsoft Automated Troubleshooters
2. Microsoft Fix it Solutions
3. Microsoft Knowledge Base Articles
• Windows XP
1. Microsoft Fix it Solutions
2. Microsoft Knowledge Base Articles
• Windows Media Player
1. Help and How-to Information
• Internet Explorer
1. Microsoft Automated Troubleshooters
2. Microsoft Knowledge Base Articles
สำหรับปัญหานั้นจะแบ่งออกเป็นแคททากอรี (Category) ตามการเลือกระบบปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์ที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยปัญหาเกี่ยวกับการใช้งาน Windows 7, Windows Vista และ Windows XP นั้นจะมี 10 แคททากอรี ดังนี้
• Desktop and personalization
• Files, folders and search
• Hardware and drivers
• Install, upgrade and activate
• Music and sound
• Networking, e-mail and getting online
• Performance and maintenance
• Pictures and video
• Security, privacy and user accounts
• System repair and recovery
สำหรับปัญหาเกี่ยวกับการใช้งาน Windows Media Player จะมี 3 แคทกอรี ดังนี้
• Getting started
• Media library
• Other
สำหรับปัญหาเกี่ยวกับการใช้งาน Internet Explorer จะมี 4 แคทกอรี ดังนี้
• Top issues
• Setup
• Troubleshooting
• Other
วิธีการใช้บริการ Fix it Center
การใช้บริการ Fix it Center มีขั้นตอนดังนี้
1. ทำการ Sign in เข้าเว็บไซต์ Fix it Center
2. ในหัวข้อ Find solutions ให้คลิกเลือกระบบปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์ที่ต้องการการช่วยเหลือจาก Microsoft Fix it Center
3. ในส่วน Category ให้คลิกเลือกแคทกอรีที่ต้องการ
4. ในส่วน Find Solutions ให้คลิกเลือกหัวข้อโซลูชั่นที่ต้องการ
5. จากนั้นคลิกเลือกหัวข้อปัญหา ตัวอย่างเช่น "How to disable simple file sharing and how to set permissions on a shared folder in Windows XP"
6. ในหน้าเว็บไซต์รายละเอียดปัญหาให้แล้วคลิกปุ่ม Microsoft Fix it จากนั้นในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ File Download ให้คลิก Run แล้วดำเนินการตามขั้นตอนบนจอภาพจนแล้วเสร็จ
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Softpedia
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Sunday, April 25, 2010
Windows 7 Virtual Machines Duplication Tool
ทำสำเนา Windows 7 Virtual Machines ง่ายๆ ด้วย XP-More
ใน Windows 7 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับไคลเอ็นต์ (Clients) คอมพิวเตอร์เวอร์ชันล่าสุดของไมโครซอฟท์นั้น มีเทคโนโลยี Virtualization เป็นของตัวเอง คือ Windows Virtual PC ซึ่งจะอินทีเกรตการทำงานเข้ากับ Windows Explorer โดยผู้ใช้สามารถทำการสร้าง Virtual Machines (VMs) ขึ้นมาเองหรือว่าใช้ในการรัน Windows XP Mode ซึ่งเป็น VM ระบบ Windows XP SP3 ที่เปิดให้ดาวน์โหลดได้ฟรีสำหรับผู้ใช้ Windows 7 รุ่น Professional, Ultimate และ Enterprise
อย่างไรก็ตาม Windows Virtual PC ใน Windows 7 นั้นมีระบบ VM management ที่มีความสามารถในการจัดการ VMs ในระดับพื้นฐานเท่านั้น ส่งผลให้การใช้งานบางรูปแบบ ตัวอย่างเช่น เมื่อต้องการทำสำเนา VM หรือ Windows XP Mode ผู้ใช้จะต้องดำเนินแบบแมนนวลซึ่งมีขั้นตอนที่ค่อนข้างยุ่งยากและซับซ้อน และเพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ในการจัดการ VMs บน Windows 7 ทาง CodePlex ซึ่งเป็น Open Source Community สำหรับผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์ได้ออกเครื่องมือชื่อ XP-More ซึ่งสามารถจัดการได้ทั้ง VM ที่ผู้ใช้ทำการสร้างขึ้นเองและ Windows XP Mode
โดย XP-More นั้นสามารถใช้จัดการ VMs ในด้านต่างๆ คือ การเปิด (Launch) VM, การสร้าง (Create New) VM ขึ้นใหม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำสำเนา (Duplicate) VM ซึ่งช่วยให้ทำได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องทำการแก้ไขไฟล์ XML และทำการสำเนาไฟล์ VMs แบบแมนนวลแต่อย่างใด และที่สำคัญ XP-More นั้นเป็นซอฟต์แวร์แบบโอเพนซอร์ส (Open Source) สามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรีจากภายใต้ไลเซนส์แบบ GNU General Public License version 2 (GPLv2) นอกจากนี้ยังเป็นโปรแกรมแบบ Portable ทำให้การใช้งานทำได้สะดวกและสามารถเก็บไว้ในสื่อเก็บข้อมูลแบบพกพาได้อีกด้วย
Download XP-More
XP-More นั้นต้องการระบบปฏิบัติการ Windows 7 , Windows Virtual PC ในการทำงาน โดยปัจจุบันพัฒนาถึงเวอร์ชัน 0.9.5 Beta สำหรับใครที่สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บไซต์ XP-More สำหรับวิธีการใช้งานนั้นผมจะนำมาโพสต์ในโอกาสต่อๆ ไปครับ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Codeplex
• Softpedia
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
ใน Windows 7 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับไคลเอ็นต์ (Clients) คอมพิวเตอร์เวอร์ชันล่าสุดของไมโครซอฟท์นั้น มีเทคโนโลยี Virtualization เป็นของตัวเอง คือ Windows Virtual PC ซึ่งจะอินทีเกรตการทำงานเข้ากับ Windows Explorer โดยผู้ใช้สามารถทำการสร้าง Virtual Machines (VMs) ขึ้นมาเองหรือว่าใช้ในการรัน Windows XP Mode ซึ่งเป็น VM ระบบ Windows XP SP3 ที่เปิดให้ดาวน์โหลดได้ฟรีสำหรับผู้ใช้ Windows 7 รุ่น Professional, Ultimate และ Enterprise
อย่างไรก็ตาม Windows Virtual PC ใน Windows 7 นั้นมีระบบ VM management ที่มีความสามารถในการจัดการ VMs ในระดับพื้นฐานเท่านั้น ส่งผลให้การใช้งานบางรูปแบบ ตัวอย่างเช่น เมื่อต้องการทำสำเนา VM หรือ Windows XP Mode ผู้ใช้จะต้องดำเนินแบบแมนนวลซึ่งมีขั้นตอนที่ค่อนข้างยุ่งยากและซับซ้อน และเพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ในการจัดการ VMs บน Windows 7 ทาง CodePlex ซึ่งเป็น Open Source Community สำหรับผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์ได้ออกเครื่องมือชื่อ XP-More ซึ่งสามารถจัดการได้ทั้ง VM ที่ผู้ใช้ทำการสร้างขึ้นเองและ Windows XP Mode
โดย XP-More นั้นสามารถใช้จัดการ VMs ในด้านต่างๆ คือ การเปิด (Launch) VM, การสร้าง (Create New) VM ขึ้นใหม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำสำเนา (Duplicate) VM ซึ่งช่วยให้ทำได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องทำการแก้ไขไฟล์ XML และทำการสำเนาไฟล์ VMs แบบแมนนวลแต่อย่างใด และที่สำคัญ XP-More นั้นเป็นซอฟต์แวร์แบบโอเพนซอร์ส (Open Source) สามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรีจากภายใต้ไลเซนส์แบบ GNU General Public License version 2 (GPLv2) นอกจากนี้ยังเป็นโปรแกรมแบบ Portable ทำให้การใช้งานทำได้สะดวกและสามารถเก็บไว้ในสื่อเก็บข้อมูลแบบพกพาได้อีกด้วย
Download XP-More
XP-More นั้นต้องการระบบปฏิบัติการ Windows 7 , Windows Virtual PC ในการทำงาน โดยปัจจุบันพัฒนาถึงเวอร์ชัน 0.9.5 Beta สำหรับใครที่สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บไซต์ XP-More สำหรับวิธีการใช้งานนั้นผมจะนำมาโพสต์ในโอกาสต่อๆ ไปครับ
credit: codeplex
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Codeplex
• Softpedia
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Saturday, April 24, 2010
How to fix McAfee false positives crashed computer
วิธีการแก้ไขปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้รับผลกระทบจาก false positive detection จากโปรแกรม Antivirus ของ McAfee โดยใช้ EXTRA.DAT
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
สืบเนื่องจากความผิดพลาดในไฟล์ไวรัสเดฟินิชัน DAT v.5958 ที่ McAfee ออกเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2553 ส่งผลให้เกิด false positive detection ในการทำงานของ Antivirus ของ McAfee โดยโปรแกรมจะเข้าใจผิดว่าโปรเซสที่รันภายใต้ svchost.exe (ซึ่งเป็นไฟล์ระบบของวินโดวส์) เป็นไวรัส w32/wecorl.a จึงทำการกักกันหรือลบโปรเซสของไฟล์ Svchost.exe ทำให้เกิดปัญหาวินโดวส์ขึ้นจอฟ้าหรือ Blue Screens of Death (BSoD) และชัทดาวน์โดยอัตโนมัติ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมได้โพสต์วิธีการแก้ไขจาก McAfee ไปแล้วในเอนทรี่ McAfee false positive detection solution สำหรับเอนทรี่นี้จะเป็นวิธีการแก้ไขจากเว็บไซต์ Cnet
หมายเหตุ: วิธีการนี้มีขั้นตอนที่ซับซ้อนและมีหลายขั้นตอน จึงเหมาะสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่มีทักษะเท่านั้น
โดย Cnet ได้แนะนำวิธีการแก้ไขปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้รับผลกระทบจาก McAfee false positive detection รายละเอียดดังนี้
ในกรณีที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทำการชัทดาวน์ตัวเองโดยอัตโนมัติ ก่อนดำเนินการแก้ไขจะต้องป้องกันเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ให้ทำการชัทดาวน์ตัวเองตามขั้นตอนดังนี้
1. เปิดหน้าต่างคอมมานด์พร็อมท์โดยคลิก Start คลิก Run จากนั้นพิมพ์ cmd.exe เสร็จแล้วกดปุ่ม Enter
2. ในหน้าต่างคอมมานด์พร็อมท์ให้พิมพ์คำสั่ง shutdown -a เสร็จแล้วกดปุ่ม Enter
ขั้นตอนที่ 1. ปิดการทำงาน Access Protection และ On-Access Scanner
ขั้นตอนแรกให้ทำการปิดการทำงาน Access Protection และ On-Access Scanner ตามขั้นตอนดังนี้
1. คลิก Start คลิก Programs คลิก McAfee จากนั้นคลิก VirusScan Console
2. ในหน้า VirusScan Console ให้คลิกขวา "Access Protection"
3. จากนั้นเลือก "Disable" จากเมนูคอนเท็กซ์
ขั้นตอนที่ 2. ทำการรีสโตร์ไฟล์ svchost.exe
ทำการดาวน์โหลดไฟล์ EXTRA.ZIP หลังจากดาวน์โหลดเสร็จเรียบร้อยให้ทำการแตกไฟล์ซึ่งจะได้ไฟล์ EXTRA.DAT โดยการดาวน์โหลดนั้นอาจจะต้องทำบนเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งสามารถใช้งานได้ตามปกติและสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ และแนะนำให้เก็บไว้ในสื่อเก็บข้อมูลแบบ USB หรือ CD-ROM เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
หลังจากทำการแตกไฟล์ EXTRA.DAT เสร็จเรียบร้อยแล้วให้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
1. คลิก Start คลิก Run พิมพ์ services.msc แล้วคลิก OK
2. คลิกขวาบนเซอร์วิส McAfee McShield แล้วเลือก Stop จากเมนูคอนเท็กซ์
3. ทำการก็อปปี้ไฟล์ EXTRA.DAT ไปยังโฟลเดอร์ "\Program Files\Common Files\McAfee\Engine"
4. จากนั้นทำการรีสตาร์ทเซอร์วิส McAfee McShield โดยการคลิกขวาบนเซอร์วิส McAfee McShield แล้วเลือก Start จากเมนูคอนเท็กซ์
5. ทำการเปิดใช้งาน access protection โดยคลิก Start คลิก Programs คลิก McAfee จากนั้นคลิก VirusScan Console
6. ในหน้า VirusScan Console ให้คลิกขวา "Access Protection"
7. จากนั้นเลือก Enable" จากเมนูคอนเท็กซ์
8. ในหน้า VirusScan Console ให้ไปยังหัวข้อ Quarantine Manager Policy
9. จากนั้นคลิกแท็บ Manager
10. คลิกขวาไฟล์ svchost.exe ใน Quarantine และเลือก Restore
11. ทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงมีผล
ในกรณีที่ไม่สามารถทำการรีสโตร์ไฟล์ svchost.exe จาก Quarantine ตามขั้นตอนที่ 2 ได้ ให้อ่านวิธีการอื่นในการรีสโตร์ไฟล์ svchost.exe จากเอนทรี่ McAfee false positive detection solution
อนึ่ง ถ้าหากครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้รับผลกระทบไม่สามารถสตาร์ทเข้าโหมดปกติ (Normal Mode) ได้จะต้องทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ใน Safe Mode โดยการกดปุ่ม F8 ก่อนที่จะปรากฏหน้าจอ Windows splash จากนั้นจึงดำเนินการขั้นตอนที่ 2
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
• McAfee false positive detection of w32/wecorl.a in DAT v.5958
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Cnet
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
สืบเนื่องจากความผิดพลาดในไฟล์ไวรัสเดฟินิชัน DAT v.5958 ที่ McAfee ออกเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2553 ส่งผลให้เกิด false positive detection ในการทำงานของ Antivirus ของ McAfee โดยโปรแกรมจะเข้าใจผิดว่าโปรเซสที่รันภายใต้ svchost.exe (ซึ่งเป็นไฟล์ระบบของวินโดวส์) เป็นไวรัส w32/wecorl.a จึงทำการกักกันหรือลบโปรเซสของไฟล์ Svchost.exe ทำให้เกิดปัญหาวินโดวส์ขึ้นจอฟ้าหรือ Blue Screens of Death (BSoD) และชัทดาวน์โดยอัตโนมัติ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมได้โพสต์วิธีการแก้ไขจาก McAfee ไปแล้วในเอนทรี่ McAfee false positive detection solution สำหรับเอนทรี่นี้จะเป็นวิธีการแก้ไขจากเว็บไซต์ Cnet
หมายเหตุ: วิธีการนี้มีขั้นตอนที่ซับซ้อนและมีหลายขั้นตอน จึงเหมาะสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่มีทักษะเท่านั้น
โดย Cnet ได้แนะนำวิธีการแก้ไขปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้รับผลกระทบจาก McAfee false positive detection รายละเอียดดังนี้
ในกรณีที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทำการชัทดาวน์ตัวเองโดยอัตโนมัติ ก่อนดำเนินการแก้ไขจะต้องป้องกันเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ให้ทำการชัทดาวน์ตัวเองตามขั้นตอนดังนี้
1. เปิดหน้าต่างคอมมานด์พร็อมท์โดยคลิก Start คลิก Run จากนั้นพิมพ์ cmd.exe เสร็จแล้วกดปุ่ม Enter
2. ในหน้าต่างคอมมานด์พร็อมท์ให้พิมพ์คำสั่ง shutdown -a เสร็จแล้วกดปุ่ม Enter
ขั้นตอนที่ 1. ปิดการทำงาน Access Protection และ On-Access Scanner
ขั้นตอนแรกให้ทำการปิดการทำงาน Access Protection และ On-Access Scanner ตามขั้นตอนดังนี้
1. คลิก Start คลิก Programs คลิก McAfee จากนั้นคลิก VirusScan Console
2. ในหน้า VirusScan Console ให้คลิกขวา "Access Protection"
3. จากนั้นเลือก "Disable" จากเมนูคอนเท็กซ์
ขั้นตอนที่ 2. ทำการรีสโตร์ไฟล์ svchost.exe
ทำการดาวน์โหลดไฟล์ EXTRA.ZIP หลังจากดาวน์โหลดเสร็จเรียบร้อยให้ทำการแตกไฟล์ซึ่งจะได้ไฟล์ EXTRA.DAT โดยการดาวน์โหลดนั้นอาจจะต้องทำบนเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งสามารถใช้งานได้ตามปกติและสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ และแนะนำให้เก็บไว้ในสื่อเก็บข้อมูลแบบ USB หรือ CD-ROM เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
หลังจากทำการแตกไฟล์ EXTRA.DAT เสร็จเรียบร้อยแล้วให้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
1. คลิก Start คลิก Run พิมพ์ services.msc แล้วคลิก OK
2. คลิกขวาบนเซอร์วิส McAfee McShield แล้วเลือก Stop จากเมนูคอนเท็กซ์
3. ทำการก็อปปี้ไฟล์ EXTRA.DAT ไปยังโฟลเดอร์ "\Program Files\Common Files\McAfee\Engine"
4. จากนั้นทำการรีสตาร์ทเซอร์วิส McAfee McShield โดยการคลิกขวาบนเซอร์วิส McAfee McShield แล้วเลือก Start จากเมนูคอนเท็กซ์
5. ทำการเปิดใช้งาน access protection โดยคลิก Start คลิก Programs คลิก McAfee จากนั้นคลิก VirusScan Console
6. ในหน้า VirusScan Console ให้คลิกขวา "Access Protection"
7. จากนั้นเลือก Enable" จากเมนูคอนเท็กซ์
8. ในหน้า VirusScan Console ให้ไปยังหัวข้อ Quarantine Manager Policy
9. จากนั้นคลิกแท็บ Manager
10. คลิกขวาไฟล์ svchost.exe ใน Quarantine และเลือก Restore
11. ทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงมีผล
ในกรณีที่ไม่สามารถทำการรีสโตร์ไฟล์ svchost.exe จาก Quarantine ตามขั้นตอนที่ 2 ได้ ให้อ่านวิธีการอื่นในการรีสโตร์ไฟล์ svchost.exe จากเอนทรี่ McAfee false positive detection solution
อนึ่ง ถ้าหากครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้รับผลกระทบไม่สามารถสตาร์ทเข้าโหมดปกติ (Normal Mode) ได้จะต้องทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ใน Safe Mode โดยการกดปุ่ม F8 ก่อนที่จะปรากฏหน้าจอ Windows splash จากนั้นจึงดำเนินการขั้นตอนที่ 2
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
• McAfee false positive detection of w32/wecorl.a in DAT v.5958
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Cnet
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
McAfee false positive detection solution
วิธีการแก้ไขปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้รับผลกระทบจาก false positive detection จากโปรแกรม Antivirus ของ McAfee
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
สืบเนื่องจากความผิดพลาดในไฟล์ไวรัสเดฟินิชัน DAT v.5958 ที่ McAfee ออกเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2553 ส่งผลให้เกิด false positive detection ในการทำงานของ Antivirus ของ McAfee โดยโปรแกรมจะเข้าใจผิดว่าโปรเซสที่รันภายใต้ svchost.exe (ซึ่งเป็นไฟล์ระบบของวินโดวส์) เป็นไวรัส w32/wecorl.a จึงทำการกักกันหรือลบโปรเซสของไฟล์ Svchost.exe ทำให้เกิดปัญหาวินโดวส์ขึ้นจอฟ้าหรือ Blue Screens of Death (BSoD) และชัทดาวน์โดยอัตโนมัติ ซึ่ง McAfee ได้ออกวิธีการแก้ไขสำหรับสำหรับผู้ใช้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้รับผลกระทบ 2 วิธีดังนี้
หมายเหตุ: วิธีการทั้ง 2 วิธีการนี้มีขั้นตอนที่ซับซ้อนและมีหลายขั้นตอน จึงเหมาะสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่มีทักษะเท่านั้น
วิธีที่ 1 การแก้ไขครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้รับผลกระทบโดยใช้เครื่องมือ SuperDAT
แก้ไขโดยใช้เครื่องมือ SuperDAT ทำการรีสโตร์ไฟล์ svchost.exe บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้รับผลกระทบ โดยเครื่องมือ SuperDAT นั้นจะทำการยับยั้งไม่ให้เกิดปัญหา false positive detection ด้วยการแอพพลายไฟล์ Extra.dat ในโฟลเดอร์ c:\program files\commonfiles\mcafee\engine จากนั้นจะทำการรีสโตร์ไฟล์ svchost.exe จากตำแหน่ง %SYSTEM_DIR%\dllcache\svchost.exe เป็นที่แรก หากไม่มีไฟล์ svchost.exe ในตำแหน่งดังกล่าวก็จะทำการรีสโตร์ไฟล์จาก %WINDOWS%\servicepackfiles\i386\svchost.exe และ Quarantine ตามลำดับ
ทั้งนี้ หลังจากทำการรันเครื่องมือ SuperDAT เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะต้องทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงมีผล
ขั้นตอนการใช้งานเครื่องมือ SuperDAT
1. บนเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งสามารถใช้งานได้ตามปกติและสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ ให้ทำการดาวน์โหลด Download SuperDAT (v1.6 MD5=17ebe5d78e1c5a1bc20e61f7b8e93a8c) โดยให้เก็บไว้ในสื่อเก็บข้อมูลแบบพกพาแบบ USB หรือ CD-ROM เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
2. ทำการต่อสื่อเก็บข้อมูลแบบพกพา (จากขั้นตอนที่ 1) เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้รับผลกระทบเพื่อทำการรัน SuperDAT
หมายเหตุ: ในกรณีที่ไม่สามารถบูทวินโดวส์เข้าโหมดปกติ (Normal Mode) ให้ทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์เข้า Safe Mode โดยการกดปุ่ม F8 ก่อนที่จะปรากฏหน้าจอ Windows splash
3. ทำการรันเครื่องมือ SuperDAT แล้วรอจนการทำงานแล้วเสร็จ
4. เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าโหมดปกติ (Normal Mode)
5. ทำการล็อกออนเข้าระบบวินโดวส์จากนั้นให้ทำการอัพเดทไวรัสเดฟินิชันเป็น DAT 5959 หรือใหม่กว่าโดยใช้ product update
วิธีที่ 2 การป้องกันปัญหาบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความเสี่ยงโดยใช้ EXTRA.DAT
วิธีการป้องกันปัญหาบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความเสี่ยงโดยใช้ EXTRA.DAT ทำการยับยั้งการเกิด false positive detection สำหรับการใช้ EXTRA.DAT ทำการแก้ไขเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประสบปัญหานั้นจะต้องทำใน Safe Mode และจะต้องทำการรีสโตร์ไฟล์ svchost.exe จากโฟลเดอร์ Quarantine แบบแมนนวล
หมายเหตุ: ก่อนการแอพพลาย EXTRA.DAT บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประสบปัญหา จะต้องปิดการทำงาน Access Protection ตามขั้นตอนดังนี้
1: คลิก Start คลิก Programs คลิก McAfee จากนั้นคลิก VirusScan Console
2: ในหน้า VirusScan Console ให้คลิกขวา "Access Protection"
3: จากนั้นเลือก "Disable" จากเมนูคอนเท็กซ์
ขั้นตอนการใช้งาน EXTRA.DAT
1. ทำการดาวน์โหลดไฟล์ Download EXTRA.ZIP หลังจากดาวน์โหลดเสร็จเรียบร้อยให้ทำการแตกไฟล์ซึ่งจะได้ไฟล์ EXTRA.DAT โดยการดาวน์โหลดนั้นอาจจะต้องทำบนเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งสามารถใช้งานได้ตามปกติและสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ และให้เก็บไว้ในสื่อเก็บข้อมูลแบบ USB หรือ CD-ROM
2. ทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ใน Safe Mode โดยการกดปุ่ม F8 ก่อนที่จะปรากฏหน้าจอ Windows splash
3. ทำการก็อปปี้ไฟล์ EXTRA.DAT ไปยังโฟลเดอร์ "\Program Files\Common Files\McAfee\Engine"
4. เปิด Windows Explorer แล้วเนวิเกตไปยังโฟลเดอร์ C:\WINDOWS\system32 จากนั้นดำเนินการตามข้อใดขอหนึ่งดังนี้
a. ถ้ามีไฟล์ svchost.exe ในโฟลเดอร์นี้โดยที่ขนาดของไฟล์ไม่เป็น 0 ไบต์ ให้ข้ามไปยังขั้นตอนที่ 7
b. ถ้าไม่มีไฟล์ svchost.exe ในโฟลเดอร์นี้ หรือมีแต่ขนาดของไฟล์เป็น 0 ไบต์ ให้ทำการเปิด VirusScan Console โดยคลิก Start คลิก Programs คลิก McAfee จากนั้นคลิก VirusScan Console ในกรณีที่ไม่สามารถเปิดได้ให้คลิก Start คลิก Run จากนั้นพิมพ์คำสั่งด้านล่าง (รวมเครื่องหมายคำพูด) เสร็จแล้ว OK
"C:\program files\mcafee\virusscan enterprise\mcconsol.exe" /standalone
5. ในหน้า VirusScan Console ให้ดับเบิลคลิก Quarantine Manager Policy จากนั้นคลิกแท็บ Manager
6. คลิกขวาที่ detection และเลือก Restore จากเมนูคอนเท็กซ์
7. เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าโหมดปกติ (Normal Mode)
ในกรณีที่ไม่สามารถทำการรีสโตร์ไฟล์ svchost.exe จาก Quarantine หรือขนาดของไฟล์เป็น 0 ไบต์ ให้ดำเนินการตามขอใดขอหนึ่งตามความเหมาะสมดังนี้
1. ทำการก็อปปี้ไฟล์ svchost.exe จากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้รับผลกระทบ
บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้รับผลกระทบ ให้ทำการก็อปปี้ไฟล์ svchost.exe ซึ่งจะอยู่ในโฟลเดอร์ c:\Windows\System32 ใส่สื่อเก็บข้อมูลแบบพกพาแบบ USB หรือ CD-ROM จากนั้นนำสื่อดังกล่าวไปต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้รับผลกระทบแล้วทำการก็อปปี้ไฟล์ svchost.exe ไปยังโฟลเดอร์ c:\Windows\System32 ทั้งนี้ คอมพิวเตอร์ทั้ง 2 เครื่องต้องใช้วินโดวส์เวอร์ชันเดียวกัน
2. ถ้ามีเครื่องคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดได้รับผลกระทบ
ทำการก็อปปี้ไฟล์ svchost.exe ไฟยังโฟลเดอร์ c:\WINDOWS\system32 ตามวิธีการข้อใดขอหนึ่งดังนี้
• จากหน้าต่าง Windows Explorer ให้เนวิเกตไปยังโฟลเดอร์ c:\windows\ServicePackFiles\i386\ หรือC:\WINDOWS\system32\dllcache\ จากนั้นทำการก็อปปี้ไฟล์โดยการคลิกขวาไฟล์ svchost.exe แล้วเลือก Copy แล้วให้ไปยังโฟลเดอร์ c:\WINDOWS\system32 และทำการคลิกขวาแล้วเลือก Paste
• ถ้าไฟล์ svchost.exe อยู่ในโฟลเดอร์ c:\windows\ServicePackFiles\i386\ ให้เปิดหน้าต่างคอมมานด์พร็อมท์แล้วพิมพ์คำสั่งด้านล่างเสร็จแล้วกดปุ่ม Enter
• ถ้าไฟล์ svchost.exe อยู่ในโฟลเดอร์ c:\WINDOWS\system32\dllcache ให้เปิดหน้าต่างคอมมานด์พร็อมท์แล้วพิมพ์คำสั่งด้านล่างเสร็จแล้วกดปุ่ม Enter
ถ้าไม่สามารถทำการรีสโตร์ไฟล์ svchost.exe จากเครื่องคอมพิวเตอร์ตาม 2 วิธีการด้านบนได้ จะต้องทำการรีสโตร์จากแผ่นซีดีติดตั้ง Windows XP ตามขั้นตอนดังนี้
1. ทำการสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์จากแผ่นซีดีติดตั้ง Windows XP จากนั้นเลือกโหมด Recovery console
2. ดำเนินการตามคำสั่งบนหน้าจอและทำการล็อกอินด้วย Administrator เสร็จแล้วจะได้คอมมานด์พร็อมท์ ตัวอย่างเช่น C:\WINDOWS>
3. ที่คอมมานด์พร็อมท์ให้พิมพ์ [drive_letter]: แล้วกดปุ่ม Enter
เมื่อ [drive_letter] เป็นไดรฟ์ของแผ่นซีดีติดตั้ง Windows XP เช่น D:
4. พิมพ์ cd \I386 แล้วกดปุ่ม Enter คอมมานด์พร็อมท์จะเปลี่ยนเป็น [drive_letter]:\I386>
5. พิมพ์คำสั่งด้านล่างเสร็จแล้วกดปุ่ม Enter
expand svchost.ex_ [drive_letter]:\windows\system32
เมื่อ [drive_letter] เป็นไดรฟ์ที่ Windows XP ติดตั้งอยู่ โดยทั่วไปเป็น C:
6. พิมพ์ exit แล้วกดปุ่ม Enter เพื่อทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
• McAfee false positive detection of w32/wecorl.a in DAT v.5958
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• McAfee Corporate KnowledgeBase
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
สืบเนื่องจากความผิดพลาดในไฟล์ไวรัสเดฟินิชัน DAT v.5958 ที่ McAfee ออกเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2553 ส่งผลให้เกิด false positive detection ในการทำงานของ Antivirus ของ McAfee โดยโปรแกรมจะเข้าใจผิดว่าโปรเซสที่รันภายใต้ svchost.exe (ซึ่งเป็นไฟล์ระบบของวินโดวส์) เป็นไวรัส w32/wecorl.a จึงทำการกักกันหรือลบโปรเซสของไฟล์ Svchost.exe ทำให้เกิดปัญหาวินโดวส์ขึ้นจอฟ้าหรือ Blue Screens of Death (BSoD) และชัทดาวน์โดยอัตโนมัติ ซึ่ง McAfee ได้ออกวิธีการแก้ไขสำหรับสำหรับผู้ใช้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้รับผลกระทบ 2 วิธีดังนี้
หมายเหตุ: วิธีการทั้ง 2 วิธีการนี้มีขั้นตอนที่ซับซ้อนและมีหลายขั้นตอน จึงเหมาะสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่มีทักษะเท่านั้น
วิธีที่ 1 การแก้ไขครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้รับผลกระทบโดยใช้เครื่องมือ SuperDAT
แก้ไขโดยใช้เครื่องมือ SuperDAT ทำการรีสโตร์ไฟล์ svchost.exe บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้รับผลกระทบ โดยเครื่องมือ SuperDAT นั้นจะทำการยับยั้งไม่ให้เกิดปัญหา false positive detection ด้วยการแอพพลายไฟล์ Extra.dat ในโฟลเดอร์ c:\program files\commonfiles\mcafee\engine จากนั้นจะทำการรีสโตร์ไฟล์ svchost.exe จากตำแหน่ง %SYSTEM_DIR%\dllcache\svchost.exe เป็นที่แรก หากไม่มีไฟล์ svchost.exe ในตำแหน่งดังกล่าวก็จะทำการรีสโตร์ไฟล์จาก %WINDOWS%\servicepackfiles\i386\svchost.exe และ Quarantine ตามลำดับ
ทั้งนี้ หลังจากทำการรันเครื่องมือ SuperDAT เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะต้องทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงมีผล
ขั้นตอนการใช้งานเครื่องมือ SuperDAT
1. บนเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งสามารถใช้งานได้ตามปกติและสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ ให้ทำการดาวน์โหลด Download SuperDAT (v1.6 MD5=17ebe5d78e1c5a1bc20e61f7b8e93a8c) โดยให้เก็บไว้ในสื่อเก็บข้อมูลแบบพกพาแบบ USB หรือ CD-ROM เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
2. ทำการต่อสื่อเก็บข้อมูลแบบพกพา (จากขั้นตอนที่ 1) เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้รับผลกระทบเพื่อทำการรัน SuperDAT
หมายเหตุ: ในกรณีที่ไม่สามารถบูทวินโดวส์เข้าโหมดปกติ (Normal Mode) ให้ทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์เข้า Safe Mode โดยการกดปุ่ม F8 ก่อนที่จะปรากฏหน้าจอ Windows splash
3. ทำการรันเครื่องมือ SuperDAT แล้วรอจนการทำงานแล้วเสร็จ
4. เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าโหมดปกติ (Normal Mode)
5. ทำการล็อกออนเข้าระบบวินโดวส์จากนั้นให้ทำการอัพเดทไวรัสเดฟินิชันเป็น DAT 5959 หรือใหม่กว่าโดยใช้ product update
วิธีที่ 2 การป้องกันปัญหาบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความเสี่ยงโดยใช้ EXTRA.DAT
วิธีการป้องกันปัญหาบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความเสี่ยงโดยใช้ EXTRA.DAT ทำการยับยั้งการเกิด false positive detection สำหรับการใช้ EXTRA.DAT ทำการแก้ไขเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประสบปัญหานั้นจะต้องทำใน Safe Mode และจะต้องทำการรีสโตร์ไฟล์ svchost.exe จากโฟลเดอร์ Quarantine แบบแมนนวล
หมายเหตุ: ก่อนการแอพพลาย EXTRA.DAT บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประสบปัญหา จะต้องปิดการทำงาน Access Protection ตามขั้นตอนดังนี้
1: คลิก Start คลิก Programs คลิก McAfee จากนั้นคลิก VirusScan Console
2: ในหน้า VirusScan Console ให้คลิกขวา "Access Protection"
3: จากนั้นเลือก "Disable" จากเมนูคอนเท็กซ์
ขั้นตอนการใช้งาน EXTRA.DAT
1. ทำการดาวน์โหลดไฟล์ Download EXTRA.ZIP หลังจากดาวน์โหลดเสร็จเรียบร้อยให้ทำการแตกไฟล์ซึ่งจะได้ไฟล์ EXTRA.DAT โดยการดาวน์โหลดนั้นอาจจะต้องทำบนเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งสามารถใช้งานได้ตามปกติและสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ และให้เก็บไว้ในสื่อเก็บข้อมูลแบบ USB หรือ CD-ROM
2. ทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ใน Safe Mode โดยการกดปุ่ม F8 ก่อนที่จะปรากฏหน้าจอ Windows splash
3. ทำการก็อปปี้ไฟล์ EXTRA.DAT ไปยังโฟลเดอร์ "\Program Files\Common Files\McAfee\Engine"
4. เปิด Windows Explorer แล้วเนวิเกตไปยังโฟลเดอร์ C:\WINDOWS\system32 จากนั้นดำเนินการตามข้อใดขอหนึ่งดังนี้
a. ถ้ามีไฟล์ svchost.exe ในโฟลเดอร์นี้โดยที่ขนาดของไฟล์ไม่เป็น 0 ไบต์ ให้ข้ามไปยังขั้นตอนที่ 7
b. ถ้าไม่มีไฟล์ svchost.exe ในโฟลเดอร์นี้ หรือมีแต่ขนาดของไฟล์เป็น 0 ไบต์ ให้ทำการเปิด VirusScan Console โดยคลิก Start คลิก Programs คลิก McAfee จากนั้นคลิก VirusScan Console ในกรณีที่ไม่สามารถเปิดได้ให้คลิก Start คลิก Run จากนั้นพิมพ์คำสั่งด้านล่าง (รวมเครื่องหมายคำพูด) เสร็จแล้ว OK
"C:\program files\mcafee\virusscan enterprise\mcconsol.exe" /standalone
5. ในหน้า VirusScan Console ให้ดับเบิลคลิก Quarantine Manager Policy จากนั้นคลิกแท็บ Manager
6. คลิกขวาที่ detection และเลือก Restore จากเมนูคอนเท็กซ์
7. เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าโหมดปกติ (Normal Mode)
ในกรณีที่ไม่สามารถทำการรีสโตร์ไฟล์ svchost.exe จาก Quarantine หรือขนาดของไฟล์เป็น 0 ไบต์ ให้ดำเนินการตามขอใดขอหนึ่งตามความเหมาะสมดังนี้
1. ทำการก็อปปี้ไฟล์ svchost.exe จากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้รับผลกระทบ
บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้รับผลกระทบ ให้ทำการก็อปปี้ไฟล์ svchost.exe ซึ่งจะอยู่ในโฟลเดอร์ c:\Windows\System32 ใส่สื่อเก็บข้อมูลแบบพกพาแบบ USB หรือ CD-ROM จากนั้นนำสื่อดังกล่าวไปต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้รับผลกระทบแล้วทำการก็อปปี้ไฟล์ svchost.exe ไปยังโฟลเดอร์ c:\Windows\System32 ทั้งนี้ คอมพิวเตอร์ทั้ง 2 เครื่องต้องใช้วินโดวส์เวอร์ชันเดียวกัน
2. ถ้ามีเครื่องคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดได้รับผลกระทบ
ทำการก็อปปี้ไฟล์ svchost.exe ไฟยังโฟลเดอร์ c:\WINDOWS\system32 ตามวิธีการข้อใดขอหนึ่งดังนี้
• จากหน้าต่าง Windows Explorer ให้เนวิเกตไปยังโฟลเดอร์ c:\windows\ServicePackFiles\i386\ หรือC:\WINDOWS\system32\dllcache\ จากนั้นทำการก็อปปี้ไฟล์โดยการคลิกขวาไฟล์ svchost.exe แล้วเลือก Copy แล้วให้ไปยังโฟลเดอร์ c:\WINDOWS\system32 และทำการคลิกขวาแล้วเลือก Paste
• ถ้าไฟล์ svchost.exe อยู่ในโฟลเดอร์ c:\windows\ServicePackFiles\i386\ ให้เปิดหน้าต่างคอมมานด์พร็อมท์แล้วพิมพ์คำสั่งด้านล่างเสร็จแล้วกดปุ่ม Enter
copy c:\windows\ServicePackFiles\i386\svchost.exe c:\WINDOWS\system32
• ถ้าไฟล์ svchost.exe อยู่ในโฟลเดอร์ c:\WINDOWS\system32\dllcache ให้เปิดหน้าต่างคอมมานด์พร็อมท์แล้วพิมพ์คำสั่งด้านล่างเสร็จแล้วกดปุ่ม Enter
copy c:\windows\ServicePackFiles\i386\svchost.exe c:\WINDOWS\system32\dllcache
ถ้าไม่สามารถทำการรีสโตร์ไฟล์ svchost.exe จากเครื่องคอมพิวเตอร์ตาม 2 วิธีการด้านบนได้ จะต้องทำการรีสโตร์จากแผ่นซีดีติดตั้ง Windows XP ตามขั้นตอนดังนี้
1. ทำการสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์จากแผ่นซีดีติดตั้ง Windows XP จากนั้นเลือกโหมด Recovery console
2. ดำเนินการตามคำสั่งบนหน้าจอและทำการล็อกอินด้วย Administrator เสร็จแล้วจะได้คอมมานด์พร็อมท์ ตัวอย่างเช่น C:\WINDOWS>
3. ที่คอมมานด์พร็อมท์ให้พิมพ์ [drive_letter]: แล้วกดปุ่ม Enter
เมื่อ [drive_letter] เป็นไดรฟ์ของแผ่นซีดีติดตั้ง Windows XP เช่น D:
4. พิมพ์ cd \I386 แล้วกดปุ่ม Enter คอมมานด์พร็อมท์จะเปลี่ยนเป็น [drive_letter]:\I386>
5. พิมพ์คำสั่งด้านล่างเสร็จแล้วกดปุ่ม Enter
expand svchost.ex_ [drive_letter]:\windows\system32
เมื่อ [drive_letter] เป็นไดรฟ์ที่ Windows XP ติดตั้งอยู่ โดยทั่วไปเป็น C:
6. พิมพ์ exit แล้วกดปุ่ม Enter เพื่อทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
• McAfee false positive detection of w32/wecorl.a in DAT v.5958
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• McAfee Corporate KnowledgeBase
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Office 2010 RTM Available to MSDN & TechNet Subscribers
ไมโครซอฟท์เปิดให้ดาวน์โหลด Office 2010 RTM แก่สมาชิก MSDN และ TechNet แล้ว
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
ไมโครซอฟท์เปิดให้ดาวน์โหลด Office 2010 RTM แก่สมาชิก MSDN และ TechNet แล้ว เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 (4/22/2010 8:45:06 AM -UTC) ที่ผ่านมา ตามเวลาในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเวอร์ชันที่ให้ดาวน์โหลดครั้งนี้มีเพียง 1 เวอร์ชัน คือ Office Professional Plus 2010 (x64) และ Office Professional Plus 2010 (x86) โดยจะมีเฉพาะเวอร์ชันภาษาอังกฤษ (English) เท่านั้น สำหรับเวอร์ชันภาษาอื่นๆ ที่เหลือคาดว่าจะเปิดให้ดาวน์โหลดหลังนี้ใน 1-2 สัปดาห์
สำหรับผู้ที่เป็นสมาชิก MSDN สามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ MSDN และสมาชิก TechNet สามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ Technet โดยไฟล์ดาวน์โหลดของ Office Professional Plus 2010 (x64) ชื่อ en_office_professional_plus_2010_x64_515489.exe และไฟล์ดาวน์โหลดของ Office Professional Plus 2010 (x86) ชื่อ en_office_professional_plus_2010_x86_515486.exe
สำหรับระดับสมาชิก MSDN ที่สามารถดาวน์โหลด Office 2010 RTM ได้มีดังนี้
• VS Pro with MSDN Premium (Empower)
• VS Premium with MSDN (MPN)
• VS Pro with MSDN Premium (MPN)
• MSDN Universal (VL)
• BizSpark Admin• BizSpark
• VS Ultimate with MSDN (VL)
• VS Premium with MSDN (VL)
• VS Premium with MSDN (Retail)
• VS Ultimate with MSDN (Retail)
สำหรับระดับสมาชิก TechNet ที่สามารถดาวน์โหลด Office 2010 RTM ได้มีดังนี้
• TechNet Plus SA Media
• TechNet Plus (Retail)
• TechNet Direct (Retail)
• TechNet Plus (VL)
• TechNet Plus Direct (VL)
• TechNet Cert Partner
• TechNet Gold Cert Partner
• TechNet Plus Consumer Service Professional Pilot
• TechNet Standard (VL)
• TechNet Standard (Retail)
สำหรับลูกค้าแบบ Volume License ซึ่งมี Software Assurance นั้นจะสามารถดาวน์โหลดได้ในวันที่ 27 เมษายน 2553 และในส่วนของ Office 2010 General Availability (GA) ซึ่งเป็นเวอร์ชันสำหรับจำหน่ายให้ลูกค้าทั่วไปนั้นจะออกในเดือนมิถุนายน (คาดว่าเป็นวันที่ 15) ศกนี้
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Friday, April 23, 2010
McAfee false positive detection of w32/wecorl.a in DAT v.5958
โปรแกรม Antivirus ของ McAfee เข้าใจผิดว่าไฟล์ svchost.exe เป็นไวรัส w32/wecorl.a
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
มีรายงานว่าผู้ใช้ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัย Antivirus ของ McAfee บนเครื่องคอมพิวเตอร์ Windows XP Service Pack 3 ที่ทำการอัพเดทไฟล์ไวรัสเดฟินิชัน DAT v.5958 ที่ McAfee ออกเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2553 จะประสบปัญหาวินโดวส์ขึ้นจอฟ้าหรือ Blue Screens of Death (BSoD) และชัทดาวน์โดยอัตโนมัติ
สำหรับสาเหตุของปัญหาครั้งนี้ เกิดจากความผิดพลาดในไฟล์ไวรัสเดฟินิชัน DAT v.5958 ซึ่งทำให้เกิด false positive detection ในการทำงานของซอฟต์แวร์ Antivirus ของ McAfee ส่งผลให้โปรแกรมเข้าใจผิดว่าโปรเซสที่รันภายใต้ svchost.exe (ซึ่งเป็นไฟล์ระบบของวินโดวส์) เป็นไวรัส w32/wecorl.a จึงทำการกักกันหรือลบโปรเซสของไฟล์ Svchost.exe ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ดังนี้
• เครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นจอฟ้า (BSoD) และทำการชัทดาวน์โดยอัตโนมัติ เมื่อเกิดความผิดพลาดในการทำงานของ DCOM หรือ RPC
• เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้ตามปกติแต่ไม่สามารถเชื่อมต่อระบบเน็ตเวิร์กได้
• เครื่องคอมพิวเตอร์ทำการรัน Bugcheck
โดยทั้ง McAfee และ Microsoft ได้ออกมายืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่าปัญหานี้ส่งผลกระทบเฉพาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows XP SP3 เท่านั้น และปัจจบัน McAfee ได้ออกไฟล์ไวรัสเดฟินิชัน DAT v.5959 เพื่อแก้ไขปัญหา false positive detection ดังกล่าวนี้แล้ว และนอกจากนี้ McAfee ยังได้ออกไฟล์ EXTRA.DAT สำหรับช่วยเหลือผู้ใช้ที่ได้ทำการอัพเดทไฟล์ไวรัสเดฟินิชัน DAT v.5958 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
วิธีการแก้ไขปัญหา
สำหรับผู้ใช้ที่ทำการอัพเดทไวรัสเดฟินิชัน DAT file v.5958 แล้วเกิดปัญหาสามารถทำการแก้ไขปัญหาด้วยตนเองตามขั้นตอนดังนี้
1. ทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ใน Safe Mode โดยการกดปุ่ม F8 ก่อนที่จะปรากฏหน้าจอ Windows splash
2. ทำการล็อกออนเข้าระบบคอมพิวเตอร์ จากนั้นกดปุ่ม CTRL+ALT+DEL แล้วคลิก Start Windows Task Manager
3. คลิกเมนู File จากนั้นคลิก New Task (Run…)
4. ในหน้าต่างคอมมานด์พร็อมท์ ให้พิมพ์ cmd.exe เสร็จแล้วกดปุ่ม Enter
5. จากนั้นทำการรันคำสั่งตามด้านล่าง (พิมพ์คำสั่งตามด้วยกดปุ่ม Enter)
หมายเหตุ: คำสั่งนี้เป็นการลบ McAfee virus definitions ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ให้ทำการอัพเดทไวรัสเดฟินิชันให้เป็นปัจจุบันเมื่อทำการแก้ปัญหาเสร็จเรียบร้อยแล้ว
6. จากนั้นทำการรันคำสั่งด้านล่าง (พิมพ์คำสั่งตามด้วยกดปุ่ม Enter)
7. ทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ในโหมดปกติ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Microsoft (KB2025695)
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
มีรายงานว่าผู้ใช้ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัย Antivirus ของ McAfee บนเครื่องคอมพิวเตอร์ Windows XP Service Pack 3 ที่ทำการอัพเดทไฟล์ไวรัสเดฟินิชัน DAT v.5958 ที่ McAfee ออกเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2553 จะประสบปัญหาวินโดวส์ขึ้นจอฟ้าหรือ Blue Screens of Death (BSoD) และชัทดาวน์โดยอัตโนมัติ
สำหรับสาเหตุของปัญหาครั้งนี้ เกิดจากความผิดพลาดในไฟล์ไวรัสเดฟินิชัน DAT v.5958 ซึ่งทำให้เกิด false positive detection ในการทำงานของซอฟต์แวร์ Antivirus ของ McAfee ส่งผลให้โปรแกรมเข้าใจผิดว่าโปรเซสที่รันภายใต้ svchost.exe (ซึ่งเป็นไฟล์ระบบของวินโดวส์) เป็นไวรัส w32/wecorl.a จึงทำการกักกันหรือลบโปรเซสของไฟล์ Svchost.exe ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ดังนี้
• เครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นจอฟ้า (BSoD) และทำการชัทดาวน์โดยอัตโนมัติ เมื่อเกิดความผิดพลาดในการทำงานของ DCOM หรือ RPC
• เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้ตามปกติแต่ไม่สามารถเชื่อมต่อระบบเน็ตเวิร์กได้
• เครื่องคอมพิวเตอร์ทำการรัน Bugcheck
โดยทั้ง McAfee และ Microsoft ได้ออกมายืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่าปัญหานี้ส่งผลกระทบเฉพาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows XP SP3 เท่านั้น และปัจจบัน McAfee ได้ออกไฟล์ไวรัสเดฟินิชัน DAT v.5959 เพื่อแก้ไขปัญหา false positive detection ดังกล่าวนี้แล้ว และนอกจากนี้ McAfee ยังได้ออกไฟล์ EXTRA.DAT สำหรับช่วยเหลือผู้ใช้ที่ได้ทำการอัพเดทไฟล์ไวรัสเดฟินิชัน DAT v.5958 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
วิธีการแก้ไขปัญหา
สำหรับผู้ใช้ที่ทำการอัพเดทไวรัสเดฟินิชัน DAT file v.5958 แล้วเกิดปัญหาสามารถทำการแก้ไขปัญหาด้วยตนเองตามขั้นตอนดังนี้
1. ทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ใน Safe Mode โดยการกดปุ่ม F8 ก่อนที่จะปรากฏหน้าจอ Windows splash
2. ทำการล็อกออนเข้าระบบคอมพิวเตอร์ จากนั้นกดปุ่ม CTRL+ALT+DEL แล้วคลิก Start Windows Task Manager
3. คลิกเมนู File จากนั้นคลิก New Task (Run…)
4. ในหน้าต่างคอมมานด์พร็อมท์ ให้พิมพ์ cmd.exe เสร็จแล้วกดปุ่ม Enter
5. จากนั้นทำการรันคำสั่งตามด้านล่าง (พิมพ์คำสั่งตามด้วยกดปุ่ม Enter)
ren "%programfiles%\Common Files\McAfee\Engine\avvscan.dat" avvscan.old
หมายเหตุ: คำสั่งนี้เป็นการลบ McAfee virus definitions ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ให้ทำการอัพเดทไวรัสเดฟินิชันให้เป็นปัจจุบันเมื่อทำการแก้ปัญหาเสร็จเรียบร้อยแล้ว
6. จากนั้นทำการรันคำสั่งด้านล่าง (พิมพ์คำสั่งตามด้วยกดปุ่ม Enter)
copy %systemroot%\system32\dllcache\svchost.exe %systemroot%\system32\
7. ทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ในโหมดปกติ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Microsoft (KB2025695)
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Thursday, April 22, 2010
Microsoft Touch Pack for Windows 7 Now Available
ไมโครซอฟท์เปิดให้ดาวน์โหลด Microsoft Touch Pack for Windows 7
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
Microsoft Touch Pack for Windows 7 เป็นคอลเลกชันของเกมและโปรแกรมสำหรับ Windows 7 ที่มีอินเทอร์เฟชแบบ Natural User Interface (NUI) นั้นคือผู้ใช้สามารถโต้ตอบได้ด้วยการใช้ปลายนิ้วสัมผัสแทนการใช้อุปกรณ์ควบคุมแบบเดิม โดยการเล่นเกมและใช้งานโปรแกรมที่อยู่ใน Microsoft Touch Pack for Windows 7 นั้นจำเป็นต้องมีเครื่องแล็ปท็อป (Laptop) ที่มีหน้าจอแบบมัลติทัช (Multitouch) หรือเครื่องเดสก์ท็อปคอมพิวเตอร์ที่ใช้หน้าจอสัมผัส (Touchscreen) แบบมัลติทัช
Microsoft Touch Pack for Windows 7 นั้นเป็นชุดซอฟต์แวร์ที่แยกอิสระกับ Windows 7 ซึ่งก่อนหน้านี้จะทำการติดตั้งมาพร้อม (Preinstalled) กับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบมัลติทัชบางรุ่นที่จำหน่ายพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 7 แบบ OEM แต่วันที่ 21 เมษายน 2553 ไมโครซอฟท์เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปดาวน์โหลด Touch Pack for Windows 7 ได้ฟรี ท่านใดสนใจสามารถดาวน์โหลดได้ที่ (ไฟล์ดาวน์โหลดมีขนาด 239.2 MB)
Download: Microsoft Touch Pack for Windows 7 (Validation Required)
โดย Microsoft Touch Pack for Windows 7 นั้นจะประกอบด้วยเกม 3 เกม และโปรแกรม 3 ตัว ดังนี้
1. Microsoft Blackboard เป็นเกมเกี่ยวกับหลักการทางฟิสิกส์ โดยผู้เล่นต้องทำการรสร้างเครื่องจักรในจินตนาการบนกระดานดำด้วยการต่อตัวพัซเซิ่ล
2. Microsoft Garden Pond เป็นเกมซึ่งมีสวนน้ำเงียบสงบในสไตล์ญี่ปุ่นเป็นฉากหลัง
3. Microsoft Rebound เป็นเกมที่ผู้เล่นต้องใช้ปลายนิ้วขยับลูกบอล Tesla ที่มีสนามแม่เหล็กอยู่ระหว่างลูกบอลเหล่านั้น เพื่อขว้างลูกบอล Tesla ให้เข้าประตูของฝ่ายคู่แข่ง
4. Microsoft Surface Globe เป็นโปรแกรมสำหรับใช้สำรวจโลกในรูปของแผนที่แบบ 2 มิติ (2-D) ซึ่งเป็นแผนที่แบบเรียบ หรือแบบ 3 มิติ (3-D) ซึ่งจะเป็นแผนที่ซึ่งมีส่วนโค้งนูนตามลักษณะทางภูมิศาสตร์
5. Microsoft Surface Collage เป็นโปรแกรมสำหรับใช้สำรวจและโต้ตอบกับรูปถ่าย และนำรูปถ่ายเหล่านั้นมาจัดเรียงเป็นแบ็คกราวน์ของเดสก์ท็อป
6. Microsoft Surface Lagoon เป็นโปรแกรมสกรีนเวฟเวอร์ (Screen Saver) ซึ่งแสดงภาพการจำลองสายน้ำแบบโต้ตอบได้กับผู้ใช้ได้ โดยมีการตกแต่งให้สมบูรณ์สมจริงด้วยการจัดวางโขดหิน และฝูงปลาที่แหวกว่ายไปมาในสายน้ำ ผู้ใช้สามารถใช้นิ้วเพื่อควบคุมสายน้ำและทำให้ฝูงปลาตอบสนอง
System Requirements
Touch Pack for Windows 7 รองรับระบบปฏิบัติการรุ่นต่างๆ ดังนี้
• Windows 7 Home Premium (32-bit/64-bit)
• Windows 7 Professional (32-bit/64-bit)
• Windows 7 Ultimate (32-bit/64-bit)
Touch Pack มีความต้องการระบบดังนี้
• คอมพิวเตอร์หรือมอนิเตอร์ที่รองรับระบบ Windows Touch (รองรับ touch input อย่างน้อย 2 แบบ)
• พีซีที่มีโปรเซสเซอร์ความเร็ว 1.3 GHz หรือสูงกว่า
• มีหน่วยความจำหลัก 1 GB
• มีพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ว่าง 600 MB
• ระบบวีดีโอการ์ด 128 MB 3D พร้อม Hardware Textures & Lighting
• ระบบวีดีโอการ์ดสามารถรองรับ DirectX 9.0 หรือสูงกว่า
• การใช้งาน Microsoft Surface Globe ต้องการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
• อุปกรณ์อื่นๆ สำหรับระบบเสียง เช่น Sound card, speakers หรือ headphones
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Windows Team Blog
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
Microsoft Touch Pack for Windows 7 เป็นคอลเลกชันของเกมและโปรแกรมสำหรับ Windows 7 ที่มีอินเทอร์เฟชแบบ Natural User Interface (NUI) นั้นคือผู้ใช้สามารถโต้ตอบได้ด้วยการใช้ปลายนิ้วสัมผัสแทนการใช้อุปกรณ์ควบคุมแบบเดิม โดยการเล่นเกมและใช้งานโปรแกรมที่อยู่ใน Microsoft Touch Pack for Windows 7 นั้นจำเป็นต้องมีเครื่องแล็ปท็อป (Laptop) ที่มีหน้าจอแบบมัลติทัช (Multitouch) หรือเครื่องเดสก์ท็อปคอมพิวเตอร์ที่ใช้หน้าจอสัมผัส (Touchscreen) แบบมัลติทัช
Microsoft Touch Pack for Windows 7 นั้นเป็นชุดซอฟต์แวร์ที่แยกอิสระกับ Windows 7 ซึ่งก่อนหน้านี้จะทำการติดตั้งมาพร้อม (Preinstalled) กับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบมัลติทัชบางรุ่นที่จำหน่ายพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 7 แบบ OEM แต่วันที่ 21 เมษายน 2553 ไมโครซอฟท์เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปดาวน์โหลด Touch Pack for Windows 7 ได้ฟรี ท่านใดสนใจสามารถดาวน์โหลดได้ที่ (ไฟล์ดาวน์โหลดมีขนาด 239.2 MB)
Download: Microsoft Touch Pack for Windows 7 (Validation Required)
โดย Microsoft Touch Pack for Windows 7 นั้นจะประกอบด้วยเกม 3 เกม และโปรแกรม 3 ตัว ดังนี้
1. Microsoft Blackboard เป็นเกมเกี่ยวกับหลักการทางฟิสิกส์ โดยผู้เล่นต้องทำการรสร้างเครื่องจักรในจินตนาการบนกระดานดำด้วยการต่อตัวพัซเซิ่ล
2. Microsoft Garden Pond เป็นเกมซึ่งมีสวนน้ำเงียบสงบในสไตล์ญี่ปุ่นเป็นฉากหลัง
3. Microsoft Rebound เป็นเกมที่ผู้เล่นต้องใช้ปลายนิ้วขยับลูกบอล Tesla ที่มีสนามแม่เหล็กอยู่ระหว่างลูกบอลเหล่านั้น เพื่อขว้างลูกบอล Tesla ให้เข้าประตูของฝ่ายคู่แข่ง
4. Microsoft Surface Globe เป็นโปรแกรมสำหรับใช้สำรวจโลกในรูปของแผนที่แบบ 2 มิติ (2-D) ซึ่งเป็นแผนที่แบบเรียบ หรือแบบ 3 มิติ (3-D) ซึ่งจะเป็นแผนที่ซึ่งมีส่วนโค้งนูนตามลักษณะทางภูมิศาสตร์
5. Microsoft Surface Collage เป็นโปรแกรมสำหรับใช้สำรวจและโต้ตอบกับรูปถ่าย และนำรูปถ่ายเหล่านั้นมาจัดเรียงเป็นแบ็คกราวน์ของเดสก์ท็อป
6. Microsoft Surface Lagoon เป็นโปรแกรมสกรีนเวฟเวอร์ (Screen Saver) ซึ่งแสดงภาพการจำลองสายน้ำแบบโต้ตอบได้กับผู้ใช้ได้ โดยมีการตกแต่งให้สมบูรณ์สมจริงด้วยการจัดวางโขดหิน และฝูงปลาที่แหวกว่ายไปมาในสายน้ำ ผู้ใช้สามารถใช้นิ้วเพื่อควบคุมสายน้ำและทำให้ฝูงปลาตอบสนอง
System Requirements
Touch Pack for Windows 7 รองรับระบบปฏิบัติการรุ่นต่างๆ ดังนี้
• Windows 7 Home Premium (32-bit/64-bit)
• Windows 7 Professional (32-bit/64-bit)
• Windows 7 Ultimate (32-bit/64-bit)
Touch Pack มีความต้องการระบบดังนี้
• คอมพิวเตอร์หรือมอนิเตอร์ที่รองรับระบบ Windows Touch (รองรับ touch input อย่างน้อย 2 แบบ)
• พีซีที่มีโปรเซสเซอร์ความเร็ว 1.3 GHz หรือสูงกว่า
• มีหน่วยความจำหลัก 1 GB
• มีพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ว่าง 600 MB
• ระบบวีดีโอการ์ด 128 MB 3D พร้อม Hardware Textures & Lighting
• ระบบวีดีโอการ์ดสามารถรองรับ DirectX 9.0 หรือสูงกว่า
• การใช้งาน Microsoft Surface Globe ต้องการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
• อุปกรณ์อื่นๆ สำหรับระบบเสียง เช่น Sound card, speakers หรือ headphones
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Windows Team Blog
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Windows 7 display may not change when switching between Aero and Basic themes
พบปัญหาเมื่อสลับระหว่างธีม Basic และธีม Aero ใน Windows 7
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
มีการพบปัญหาใหม่ใน Windows 7 อีกแล้ว โดยวันที่ 13 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ได้ออกประกาศเตือนผู้ใช้ว่าการสลับไปมาระหว่างธีม Basic และธีม Aero จำนวนหลายๆ ครั้ง จะทำให้เครื่องหยุดตอบสนองการทำงานและค้างอยู่ที่ธีม Basic ได้
โดยไมโครซอฟท์กล่าวว่ากำลังตรวจสอบถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์หยุดตอบสนองการทำงานโดยที่ไม่ได้ทำการแสดงไดอะล็อกบ็อกซ์ "Please Wait" เหมือนกับการทำงานตามปกติ โดยปัญหานี้จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ทำการสลับไปมาระหว่างธีม Basic และธีม Aero จำนวนหลายๆ ครั้ง อนึ่ง หลังจากทำการตรวจสอบสาเหตุและพัฒนาฮอตฟิกซ์ (Hotfix) สำหรับแก้ปัญหาแล้วเสร็จทางไมโครซอฟท์จะทำการประกาศให้ผู้ใช้ทราบต่อไป
วิธีการแก้ไข
ในปัจจุบันยังไม่ฮอตฟิกซ์เพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยผู้ใช้ Windows 7 ที่ประสบปัญหาดังที่กล่าวมาด้านบน สามารถทำการแก้ไขได้โดยการตั้งค่าธีมเป็น Windows Classic หรือธีมอื่นๆ ที่มีค่าคอนทราสต์สูง ในระหว่างที่ระบบกำลังดำเนินการเปลี่ยนแปลงธีมและปรากฏไดอะล็อกบ็อกซ์ "Please Wait" ให้ทำการเลือกตั้งค่าเป็นธีม Aero
Windows 7 รุ่นที่ได้รับผลกระทบ
Windows 7 รุ่นที่ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ได้แก่
• Windows 7 Enterprise
• Windows 7 Professional
• Windows 7 Ultimate
• Windows 7 Home Premium
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• KB2022752
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
มีการพบปัญหาใหม่ใน Windows 7 อีกแล้ว โดยวันที่ 13 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ได้ออกประกาศเตือนผู้ใช้ว่าการสลับไปมาระหว่างธีม Basic และธีม Aero จำนวนหลายๆ ครั้ง จะทำให้เครื่องหยุดตอบสนองการทำงานและค้างอยู่ที่ธีม Basic ได้
โดยไมโครซอฟท์กล่าวว่ากำลังตรวจสอบถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์หยุดตอบสนองการทำงานโดยที่ไม่ได้ทำการแสดงไดอะล็อกบ็อกซ์ "Please Wait" เหมือนกับการทำงานตามปกติ โดยปัญหานี้จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ทำการสลับไปมาระหว่างธีม Basic และธีม Aero จำนวนหลายๆ ครั้ง อนึ่ง หลังจากทำการตรวจสอบสาเหตุและพัฒนาฮอตฟิกซ์ (Hotfix) สำหรับแก้ปัญหาแล้วเสร็จทางไมโครซอฟท์จะทำการประกาศให้ผู้ใช้ทราบต่อไป
วิธีการแก้ไข
ในปัจจุบันยังไม่ฮอตฟิกซ์เพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยผู้ใช้ Windows 7 ที่ประสบปัญหาดังที่กล่าวมาด้านบน สามารถทำการแก้ไขได้โดยการตั้งค่าธีมเป็น Windows Classic หรือธีมอื่นๆ ที่มีค่าคอนทราสต์สูง ในระหว่างที่ระบบกำลังดำเนินการเปลี่ยนแปลงธีมและปรากฏไดอะล็อกบ็อกซ์ "Please Wait" ให้ทำการเลือกตั้งค่าเป็นธีม Aero
Windows 7 รุ่นที่ได้รับผลกระทบ
Windows 7 รุ่นที่ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ได้แก่
• Windows 7 Enterprise
• Windows 7 Professional
• Windows 7 Ultimate
• Windows 7 Home Premium
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• KB2022752
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
TeamViewer 5.0.8232 All-In-One Solution for Remote Access and Support
TeamViewer 5.0.8232 เวอร์ชันล่าสุดของโซลูชั่น Remote Access and Support แบบฟรีแวร์
บทความโดย: The Windows Administrator Blog
TeamViewer ซึ่งเป็นโปรแกรมรีโมทเดสก์ทอป (Remote Desktop) แบบฟรีแวร์ออกเวอร์ชันใหม่ TeamViewer 5.0.8232 โดยเวอร์ชันใหม่ล่าสุดนี้ออกเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2553 และรองรับการทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 98, Windows Me, Windows NT, Windows XP, Windows 2000, Windows Vista Windows 7, Windows Server 2003 และ Windows Server 2008 นอกจากนี้มีเวอร์ชันสำหรับระบบปฏิบัติการ MAC OS X และ iPhone อีกด้วย
TeamViewer มีคุณสมบัติการทำงานที่หลากหลายและมีระบบความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ ในขณะที่ตัวโปรแกรมมีขนาดไม่ใหญ่จึงไม่เปลืองทรัพยากรระบบ และยังสามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมลงเครื่อง โดยมีทั้งเวอร์ชันที่สามารถใช้งานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย (เวอร์ชัน Personal /Non-commercial use) และเวอร์ชันเชิงพาณิชย์ให้เลือกใช้งาน
TeamViewer เป็นโปรแกรม Remote Desktop แบบ One-Stop คือ นอกจากใช้งานในแบบ Remote Support ได้แล้ว ยังสามารถใช้งานในลักษณะ Remote Presentation และ Remote Administration ได้อีกด้วย จึงสามารถทำการแชร์ภาพหน้าจอ (Screen-sharing) และถ่ายโอนไฟล์ (File-transfer) เพื่อทำงานร่วมกัน (Collaboration) ได้อย่างยอดเยี่ยม และคุณสมบัติที่เด่นอีกอย่างหนึ่งคือสามารถใช้งานผ่านทางอินเทอร์เน็ตโดยที่ไม่ต้องทำการคอนฟิกไฟร์วอลล์ (Firewall) ใหม่ โดยในเวอร์ชัน 5.x นี้รองรับการสนทนาแบบ VoIP ได้ ท่านใดสนใจก็สามารถดาวน์โหลดได้ตามรายละเอียดด้านล่าง
สำหรับวิธีการใช้งานโปรแกรม TeamViewer นั้น สามารถอ่านรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ Remote Desktop with TeamViewer
รายละเอียดเกี่ยวกับโปรแกรม TeamViewer
เวอร์ชัน: 5.0.8232
ขนาดไฟล์: 2.69 MB
ภาษา: German, English, French, Italian, Spanish, Portugues, Dutch และ Dansk
ประเภทไลเซนส์: Personal /Non-commercial และ Commercial
ผู้พัฒนา: TeamViewer (เว็บไซต์ http://www.teamviewer.com/)
ดาวน์โหลดลิงค์: Download TeamViewer 5.0.8232
รีลีสโน้ต: TeamViewer 5.0.8232 Release notes
การปรับปรุงในโปรแกรม TeamViewer 5.0.8232
ในโปรแกรม TeamViewer 5.0.8232 มีการการปรับปรุง ดังต่อไปนี้
• Widely improved screen grabbing
• Several improvements regarding clipboard exchange between local and remote computer
• Fix: Connections started by TeamViewer Manager show up in the taskbar
• Several improvements regarding stability and reliability
• Several minor improvements and fixes
คุณสมบัติหลักของโปรแกรม TeamViewer 5.x
ในโปรแกรม TeamViewer 5.x มีคุณสมบัติต่างๆ ดังนี้
• Audio / Video Conferences:
The most comprehensive innovation in TeamViewer 5 is the new VoIP (Voice over IP) audio and video capability. It enables you to talk to your customers for free and to give your sessions a more personal touch using a webcam.
The packet prioritization that was specifically developed for TeamViewer ensures an optimal audio and video quality even if you are transferring files or if you are actively working on a remote desktop at the same time.
• Application selection:
Present only selected applications instead of your whole desktop.
• Teleconferencing:
Your partner does not have a headset for VoIP? No Problem - TeamViewer 5 has an integrated teleconferencing solution with access numbers in numerous countries (additional charges per minute apply for calling the access numbers).
• Usability:
The new TeamViewer control panel and an optimized menu simplify and improve the handling of our software.
• Improved performance:
TeamViewer 5 is even faster than TeamViewer 4, especially in routed connections behind firewalls.
• Improved whiteboard:
Improved whiteboard for fast notes.
• Adaptability:
TeamViewer's options have been further improved and enhanced so you can adapt it even better to your needs.
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
บทความโดย: The Windows Administrator Blog
TeamViewer ซึ่งเป็นโปรแกรมรีโมทเดสก์ทอป (Remote Desktop) แบบฟรีแวร์ออกเวอร์ชันใหม่ TeamViewer 5.0.8232 โดยเวอร์ชันใหม่ล่าสุดนี้ออกเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2553 และรองรับการทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 98, Windows Me, Windows NT, Windows XP, Windows 2000, Windows Vista Windows 7, Windows Server 2003 และ Windows Server 2008 นอกจากนี้มีเวอร์ชันสำหรับระบบปฏิบัติการ MAC OS X และ iPhone อีกด้วย
TeamViewer มีคุณสมบัติการทำงานที่หลากหลายและมีระบบความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ ในขณะที่ตัวโปรแกรมมีขนาดไม่ใหญ่จึงไม่เปลืองทรัพยากรระบบ และยังสามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมลงเครื่อง โดยมีทั้งเวอร์ชันที่สามารถใช้งานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย (เวอร์ชัน Personal /Non-commercial use) และเวอร์ชันเชิงพาณิชย์ให้เลือกใช้งาน
About: TeamViewer 5.0.8232
TeamViewer เป็นโปรแกรม Remote Desktop แบบ One-Stop คือ นอกจากใช้งานในแบบ Remote Support ได้แล้ว ยังสามารถใช้งานในลักษณะ Remote Presentation และ Remote Administration ได้อีกด้วย จึงสามารถทำการแชร์ภาพหน้าจอ (Screen-sharing) และถ่ายโอนไฟล์ (File-transfer) เพื่อทำงานร่วมกัน (Collaboration) ได้อย่างยอดเยี่ยม และคุณสมบัติที่เด่นอีกอย่างหนึ่งคือสามารถใช้งานผ่านทางอินเทอร์เน็ตโดยที่ไม่ต้องทำการคอนฟิกไฟร์วอลล์ (Firewall) ใหม่ โดยในเวอร์ชัน 5.x นี้รองรับการสนทนาแบบ VoIP ได้ ท่านใดสนใจก็สามารถดาวน์โหลดได้ตามรายละเอียดด้านล่าง
สำหรับวิธีการใช้งานโปรแกรม TeamViewer นั้น สามารถอ่านรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ Remote Desktop with TeamViewer
รายละเอียดเกี่ยวกับโปรแกรม TeamViewer
เวอร์ชัน: 5.0.8232
ขนาดไฟล์: 2.69 MB
ภาษา: German, English, French, Italian, Spanish, Portugues, Dutch และ Dansk
ประเภทไลเซนส์: Personal /Non-commercial และ Commercial
ผู้พัฒนา: TeamViewer (เว็บไซต์ http://www.teamviewer.com/)
ดาวน์โหลดลิงค์: Download TeamViewer 5.0.8232
รีลีสโน้ต: TeamViewer 5.0.8232 Release notes
การปรับปรุงในโปรแกรม TeamViewer 5.0.8232
ในโปรแกรม TeamViewer 5.0.8232 มีการการปรับปรุง ดังต่อไปนี้
• Widely improved screen grabbing
• Several improvements regarding clipboard exchange between local and remote computer
• Fix: Connections started by TeamViewer Manager show up in the taskbar
• Several improvements regarding stability and reliability
• Several minor improvements and fixes
คุณสมบัติหลักของโปรแกรม TeamViewer 5.x
ในโปรแกรม TeamViewer 5.x มีคุณสมบัติต่างๆ ดังนี้
• Audio / Video Conferences:
The most comprehensive innovation in TeamViewer 5 is the new VoIP (Voice over IP) audio and video capability. It enables you to talk to your customers for free and to give your sessions a more personal touch using a webcam.
The packet prioritization that was specifically developed for TeamViewer ensures an optimal audio and video quality even if you are transferring files or if you are actively working on a remote desktop at the same time.
• Application selection:
Present only selected applications instead of your whole desktop.
• Teleconferencing:
Your partner does not have a headset for VoIP? No Problem - TeamViewer 5 has an integrated teleconferencing solution with access numbers in numerous countries (additional charges per minute apply for calling the access numbers).
• Usability:
The new TeamViewer control panel and an optimized menu simplify and improve the handling of our software.
• Improved performance:
TeamViewer 5 is even faster than TeamViewer 4, especially in routed connections behind firewalls.
• Improved whiteboard:
Improved whiteboard for fast notes.
• Adaptability:
TeamViewer's options have been further improved and enhanced so you can adapt it even better to your needs.
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Wednesday, April 21, 2010
Download Easeus Partition Master 5.5.1
Easeus Partition Master 5.5.1 Home Edition เวอร์ชันล่าสุดของโปรแกรมสำหรับจัดการฮาร์ดดิสก์แบบ Freeware
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
ออกเวอร์ชันใหม่ให้อัพเดทกันอีกแล้วสำหรับโปรแกรม Easeus Partition Master โปรแกรมสำหรับจัดการฮาร์ดดิสก์บนระบบวินโดวส์ โดยล่าสุดวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่ผ่านมาทีมพัฒนาได้ออก Easeus Partition Master 5.5.1 Home Edition สำหรับ Easeus Partition Master นั้นเป็นโปรแกรมลักษณะเดียวกับโปรแกรมเชิงพาณิชย์ชื่อดังอย่าง Partition Magic แต่ต่างกันที่ Easeus Partition Master Home Edition นั้นเป็นฟรีแวร์ (Freeware) สามารถใช้งานได้ฟรีสำหรับการใช้งานส่วนตัว
Easeus Partition Master Home Edition เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ใช้วินโดวส์ที่ต้องการจัดการฮาร์ดดิสก์ในขั้นสูง (Advanced) ซึ่งเครื่องมือ Disk Management ที่แถมมาพร้อมกับวินโดวส์ไม่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตามโปรแกรม Easeus Partition Master รุ่น Home Edition นั้นสามารถรองรับเฉพาะวินโดวส์เวอร์ชัน 32 บิต เท่านั้น หากต้องการใช้งานบนระบบ 64 บิต ต้องใช้เวอร์ชัน Professional ซึ่งจำหน่ายในราคา US$ 39.95 (ประมาณ 1,300 บาท)
หมายเหตุ: โปรแกรม Easeus Partition Master นั้นที่รู้จักในชื่อเดิมคือ Easeus Partition Manager
แนะนำโปรแกรม Easeus Partition Master
Easeus Partition Master เป็นโปรแกรมสำหรับใช้จัดการฮาร์ดดิสก์บนระบบวินโดวส์ เทียบได้กับโปรแกรม Disk Management ที่แถมมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการวินโดวส์แต่มีความสามารถสูงกว่ามาก โดยสามารถทำการลดขนาดพาร์ติชัน (Re-size) การย้ายตำแหน่งพาร์ติชัน (Move Partition) หรือการก็อปปี้พาร์ติชัน (Copy Partition) และก็อปปี้พาร์ติชันระบบ (System Partition) ซึ่งใช้ไฟล์ซีสเต็มแบบ NTFS ได้ โดยไม่ต้องทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์
โดยส่วนตัวนั้น หลังจากได้ทดลองใช้โปรแกรม Easeus Partition Master ผมรู้สึกประทับใจอย่างมาก เนื่องจากมีการใช้งานที่ค่อนข้างง่าย มีคุณสมบัติตั้งแต่ขั้นพื้นฐานจนถึงขึ้นสูงให้ใช้งานครบครัน และที่สำคัญเวอร์ชัน Home Edition นั้นฟรีแวร์สำหรับใช้งานส่วนบุคคล จึงเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ใช้วินโดวส์ระบบ 32 บิต สำหรับเวอร์ชันปัจจุบัน คือ Easeus Partition Master 5.5.1 Home Edition ซึ่งมีการเพิ่มคุณสมบัติใหม่ตามรายละเอียดด้านล่าง
คุณสมบัติใหม่ใน Easeus Partition Master 5.5.1
ใน Easeus Partition Master 5.5.1 มีการเพิ่มฟังก์ชันใหม่ ดังนี้
• เพิ่มฟังก์ชัน Rebuild MBR, disk defragmentation และ wipe disk
คุณสมบัติหลัก:
โปรแกรม Easeus Partition Master มีคุณสมบัติหลักหลายอย่าง ดังต่อไปนี้
• สามารถทำการลดขนาด (Re-size) ย้าย (Move) พาร์ติชันได้โดยข้อมูลไม่สูญหาย
• สามารถทำการถ่ายโอนข้อมูลหรือปกป้องข้อมูลโดยการ ก็อปปี้ดิสก์ (Disk Copy) ก็อปปี้พาร์ติชัน (Partition Copy) และทำการก็อปปี้แบบไดนามิก (Dynamic Disk Copy)
• สามารถทำการขยายขนาดของพาร์ติชันระบบ (System Partition) ได้ง่ายและปลอดภัย
• สามารถทำการ สร้าง (Create) ลบ (Delete) และฟอร์แมต (Format) พาร์ติชัน
• สามารถทำการซ่อน (Hide) และยกเลิกการซ่อน (Unhide) พาร์ติชัน
• รองรับฮาร์ดดิกส์ได้สูงสุด 32 ตัว (จำนวนฮาร์ดดิสก์ที่รองรับได้อาจน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการที่ใช้)
• รองรับพาร์ติชันหรือฮาร์ดดิกส์ที่มีความจุสูงสุด 2.0 TB
• รองรับ Hardware RAID
• สามารถทำการก็อปปี้ไดนามิกโวลุ่ม (Dynamic Volume Copy) ทำให้การก็อปปี้ข้อมูลจากไดนามิกโวลุ่มไปเบสิคดิสก์ (Basic Disk) ได้อย่างปลอดภัย
• สามารถทำการขยายขนาดของพาร์ติชันระบบ (System Partition) ซึ่งใช้ไฟล์ซีสเต็มแบบ NTFS ได้โดยไม่ต้องทำการรีบูต
คุณสมบัติของ Partition Recovery Wizard
• สามารถทำการกู้คืน (Recover) ข้อมูลจากพาร์ติชันที่ถูกลบหรือหายได้
• สามารถทำการกู้คืน (Recover) ไฟล์ที่ถูกลบโดยอุบัติเหตุได้
• สามารถทำการกู้คืน (Recover) ข้อมูลจากพาร์ติชันที่ถูกฟอร์แมตได้
คุณสมบัติหลักของ Easeus Partition Master (ภาพจาก www.partition-tool.com)
ระบบปฏิบัติการที่รองรับ:
Easeus Partition Master 5.5.1 Home Edition สามารถใช้งานได้บนระบบปฏิบัติการ Windows 2000 Professional, Windows XP 32-bit, Windows Vista 32-bit และ Windows 7 32-bit โดยเวอร์ชัน Professional และ Server จะสามารถทำงานได้บน Windows ทั้งระบบ 32-bit และ 64-bit
การดาวน์โหลด Easeus Partition Master 5.5.1 Home Edition
โปรแกรม Partition Master 5.5.1 Home Edition มีขนาดประมาณ 11.08 MB สามารถดูรายละเอียดการดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ Free Download EASEUS Partition Software หรือดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บไซต์ต่างๆ ดังนี้
• ดาวน์โหลดจาก EASEUS.com [1]
• ดาวน์โหลดจาก EASEUS.com [2]
สำหรับวิธีการใช้งานสามารถอ่านได้จาก การจัดการฮาร์ดดิสด้วย Easeus Partition Master
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Easeus Partition Master 5.5.1 Home Edition
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
ออกเวอร์ชันใหม่ให้อัพเดทกันอีกแล้วสำหรับโปรแกรม Easeus Partition Master โปรแกรมสำหรับจัดการฮาร์ดดิสก์บนระบบวินโดวส์ โดยล่าสุดวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่ผ่านมาทีมพัฒนาได้ออก Easeus Partition Master 5.5.1 Home Edition สำหรับ Easeus Partition Master นั้นเป็นโปรแกรมลักษณะเดียวกับโปรแกรมเชิงพาณิชย์ชื่อดังอย่าง Partition Magic แต่ต่างกันที่ Easeus Partition Master Home Edition นั้นเป็นฟรีแวร์ (Freeware) สามารถใช้งานได้ฟรีสำหรับการใช้งานส่วนตัว
Easeus Partition Master Home Edition เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ใช้วินโดวส์ที่ต้องการจัดการฮาร์ดดิสก์ในขั้นสูง (Advanced) ซึ่งเครื่องมือ Disk Management ที่แถมมาพร้อมกับวินโดวส์ไม่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตามโปรแกรม Easeus Partition Master รุ่น Home Edition นั้นสามารถรองรับเฉพาะวินโดวส์เวอร์ชัน 32 บิต เท่านั้น หากต้องการใช้งานบนระบบ 64 บิต ต้องใช้เวอร์ชัน Professional ซึ่งจำหน่ายในราคา US$ 39.95 (ประมาณ 1,300 บาท)
หมายเหตุ: โปรแกรม Easeus Partition Master นั้นที่รู้จักในชื่อเดิมคือ Easeus Partition Manager
แนะนำโปรแกรม Easeus Partition Master
Easeus Partition Master เป็นโปรแกรมสำหรับใช้จัดการฮาร์ดดิสก์บนระบบวินโดวส์ เทียบได้กับโปรแกรม Disk Management ที่แถมมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการวินโดวส์แต่มีความสามารถสูงกว่ามาก โดยสามารถทำการลดขนาดพาร์ติชัน (Re-size) การย้ายตำแหน่งพาร์ติชัน (Move Partition) หรือการก็อปปี้พาร์ติชัน (Copy Partition) และก็อปปี้พาร์ติชันระบบ (System Partition) ซึ่งใช้ไฟล์ซีสเต็มแบบ NTFS ได้ โดยไม่ต้องทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์
โดยส่วนตัวนั้น หลังจากได้ทดลองใช้โปรแกรม Easeus Partition Master ผมรู้สึกประทับใจอย่างมาก เนื่องจากมีการใช้งานที่ค่อนข้างง่าย มีคุณสมบัติตั้งแต่ขั้นพื้นฐานจนถึงขึ้นสูงให้ใช้งานครบครัน และที่สำคัญเวอร์ชัน Home Edition นั้นฟรีแวร์สำหรับใช้งานส่วนบุคคล จึงเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ใช้วินโดวส์ระบบ 32 บิต สำหรับเวอร์ชันปัจจุบัน คือ Easeus Partition Master 5.5.1 Home Edition ซึ่งมีการเพิ่มคุณสมบัติใหม่ตามรายละเอียดด้านล่าง
คุณสมบัติใหม่ใน Easeus Partition Master 5.5.1
ใน Easeus Partition Master 5.5.1 มีการเพิ่มฟังก์ชันใหม่ ดังนี้
• เพิ่มฟังก์ชัน Rebuild MBR, disk defragmentation และ wipe disk
คุณสมบัติหลัก:
โปรแกรม Easeus Partition Master มีคุณสมบัติหลักหลายอย่าง ดังต่อไปนี้
• สามารถทำการลดขนาด (Re-size) ย้าย (Move) พาร์ติชันได้โดยข้อมูลไม่สูญหาย
• สามารถทำการถ่ายโอนข้อมูลหรือปกป้องข้อมูลโดยการ ก็อปปี้ดิสก์ (Disk Copy) ก็อปปี้พาร์ติชัน (Partition Copy) และทำการก็อปปี้แบบไดนามิก (Dynamic Disk Copy)
• สามารถทำการขยายขนาดของพาร์ติชันระบบ (System Partition) ได้ง่ายและปลอดภัย
• สามารถทำการ สร้าง (Create) ลบ (Delete) และฟอร์แมต (Format) พาร์ติชัน
• สามารถทำการซ่อน (Hide) และยกเลิกการซ่อน (Unhide) พาร์ติชัน
• รองรับฮาร์ดดิกส์ได้สูงสุด 32 ตัว (จำนวนฮาร์ดดิสก์ที่รองรับได้อาจน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการที่ใช้)
• รองรับพาร์ติชันหรือฮาร์ดดิกส์ที่มีความจุสูงสุด 2.0 TB
• รองรับ Hardware RAID
• สามารถทำการก็อปปี้ไดนามิกโวลุ่ม (Dynamic Volume Copy) ทำให้การก็อปปี้ข้อมูลจากไดนามิกโวลุ่มไปเบสิคดิสก์ (Basic Disk) ได้อย่างปลอดภัย
• สามารถทำการขยายขนาดของพาร์ติชันระบบ (System Partition) ซึ่งใช้ไฟล์ซีสเต็มแบบ NTFS ได้โดยไม่ต้องทำการรีบูต
คุณสมบัติของ Partition Recovery Wizard
• สามารถทำการกู้คืน (Recover) ข้อมูลจากพาร์ติชันที่ถูกลบหรือหายได้
• สามารถทำการกู้คืน (Recover) ไฟล์ที่ถูกลบโดยอุบัติเหตุได้
• สามารถทำการกู้คืน (Recover) ข้อมูลจากพาร์ติชันที่ถูกฟอร์แมตได้
คุณสมบัติหลักของ Easeus Partition Master (ภาพจาก www.partition-tool.com)
ระบบปฏิบัติการที่รองรับ:
Easeus Partition Master 5.5.1 Home Edition สามารถใช้งานได้บนระบบปฏิบัติการ Windows 2000 Professional, Windows XP 32-bit, Windows Vista 32-bit และ Windows 7 32-bit โดยเวอร์ชัน Professional และ Server จะสามารถทำงานได้บน Windows ทั้งระบบ 32-bit และ 64-bit
การดาวน์โหลด Easeus Partition Master 5.5.1 Home Edition
โปรแกรม Partition Master 5.5.1 Home Edition มีขนาดประมาณ 11.08 MB สามารถดูรายละเอียดการดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ Free Download EASEUS Partition Software หรือดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บไซต์ต่างๆ ดังนี้
• ดาวน์โหลดจาก EASEUS.com [1]
• ดาวน์โหลดจาก EASEUS.com [2]
สำหรับวิธีการใช้งานสามารถอ่านได้จาก การจัดการฮาร์ดดิสด้วย Easeus Partition Master
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Easeus Partition Master 5.5.1 Home Edition
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Google Chrome 4.1.249.1059 for Windows Stable Update
Google ออก Chrome 4.1.249.1059 for Windows เพื่อแก้ปัญหาความปลอดภัยร้ายแรง
Google ออก Chrome 4.1.249.1059 for Windows ซึ่งถือเป็น Stable Update เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ออกเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2553 โดยเวอร์ชันใหม่ล่าสุดนี้มีการแก้ไขปัญหาเรื่องความปลอดภัย (Security Fixes) หลายอย่างที่พบในเวอร์ชัน 4.1.249.1045 ตามรายละเอียดด้านล่าง
คุณสมบัติใหม่ใน Google Chrome 4.1.249.1059
ใน Google Chrome 4.1.249.1059 มีการเพิ่มคุณสมบัติใหม่ (นับจากเวอร์ชัน 3.0) ดังต่อไปนี้
• Extensions
• Bookmark sync
• Enhanced developer tools
• HTML5: Notifications, Web Database, Local Storage, WebSockets, Ruby support
• v8 performance improvements
• Skia performance improvements
• Full ACID3 pass, due to re-enabled remote font support (with added defense against bugs in operating system font libraries)
• HTTP byte range support
• New security feature: "Strict Transport Security" support
• Experimental new anti-reflected-XSS feature called "XSS Auditor"
ฟีเจอร์ที่ได้รับการอัพเดทใน Google Chrome 4.1.249.1059
ใน Google Chrome 4.1.249.1059 มีการอัพเดทฟีเจอร์ต่างๆ ดังนี้
• Fix to prevent crashes with the LastPass extension (Issue 38857)
• Add the option to disable 'Offer to translate pages that aren't in a language I read' in Options > Under the Hood
การแก้ปัญหาด้านความปลอดภัยใน Google Chrome 4.1.249.1059
ใน Google Chrome 4.1.249.1059 มีการแก้ปัญหาด้านความปลอดภัย ดังต่อไปนี้
• [39443] Type confusion error with forms. Credit: kuzzcc. (High)
• [39698] HTTP request error leading to possible XSRF. Credit: Meder Kydyraliev, Google Security Team. (High)
• [40136] Local file reference through developer tools. Credit: Robert Swiecki, Google Security Team; Tavis Ormandy, Google Security Team. (Medium)
• [40137] Cross-site scripting in chrome://net-internals. Credit: Robert Swiecki, Google Security Team; Tavis Ormandy, Google Security Team. (Medium)
• [40138] Cross-site scripting in chrome://downloads. Credit: Robert Swiecki, Google Security Team; Tavis Ormandy, Google Security Team. (High)
• [40575] Pages might load with privileges of the New Tab page. (Medium)
• [40635] Memory corruption in V8 bindings. Credit: kuzzcc; Google Chrome Security Team (SkyLined); Michal Zalewski, Google Security Team. (High)
หมายเหตุ: bug 39443 นั้นถูกค้นพบโดย kuzzcc และได้เงินรางวัลจาก Google จำนวน $500, bug 40635 นั้นถูกค้นพบโดย kuzzcc; Google Chrome Security Team (SkyLined); Michal Zalewski, Google Security Team และได้เงินรางวัลจาก Google จำนวน $500
การดาวน์โหลดและการติดตั้ง Google Chrome 4.1.249.1059
Google Chrome 4.1.249.1059 นั้นสามารถทำงานได้บน Windows XP, Windows Vista และ Windows 7 โดยวิธีการติดตั้งนั้น โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กรณี ดังต่อไปนี้
กรณีที่ 1 ยังไม่มีการติดตั้ง Google Chrome อยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถติดตั้งโปรแกรม Google Chrome จากอินเทอร์เน็ตผ่านทางบราวเซอร์ โดยเปิดไปที่เว็บไซต์ www.google.com/chrome จากนั้นดำเนินการคำสั่งบนจอภาพ
กรณีที่ 2 ยังไม่มีการติดตั้ง Google Chrome อยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมติดตั้ง Google Chrome จากเว็บไซต์ Download Google Chrome 4.1.249.1059 มาทำการติดตั้งด้วยตนเอง
กรณีที่ 3 มีการติดตั้ง Google Chrome เวอร์ชัน 4.0.249.89 หรือ เวอร์ชันก่อนหน้าบนเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ก่อนแล้ว สามารถทำการอัพเดทเป็นเวอร์ชัน 4.1.249.1059 ได้ตามขั้นตอนดังนี้
1. เปิดโปรแกรม Google Chrome จากนั้นคลิกที่ไอคอนรูปเครื่องมือ แล้วเลือกคำสั่ง About Google Chrome
2. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ About Google Chrome ให้คลิก Update Now แล้วรอจนโปรแกรมทำการติดตั้งแล้วเสร็จ
3. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Please close all Chrome windows and restart Chrome for this change to take effect ให้คลิก OK
4. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ About Google Chrome ให้คลิก OK อีกครั้ง
5. ทำการรีสตาร์ทโปรแกรม Google Chrome เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงมีผล
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
• Google Chrome Releases
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Google ออก Chrome 4.1.249.1059 for Windows ซึ่งถือเป็น Stable Update เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ออกเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2553 โดยเวอร์ชันใหม่ล่าสุดนี้มีการแก้ไขปัญหาเรื่องความปลอดภัย (Security Fixes) หลายอย่างที่พบในเวอร์ชัน 4.1.249.1045 ตามรายละเอียดด้านล่าง
คุณสมบัติใหม่ใน Google Chrome 4.1.249.1059
ใน Google Chrome 4.1.249.1059 มีการเพิ่มคุณสมบัติใหม่ (นับจากเวอร์ชัน 3.0) ดังต่อไปนี้
• Extensions
• Bookmark sync
• Enhanced developer tools
• HTML5: Notifications, Web Database, Local Storage, WebSockets, Ruby support
• v8 performance improvements
• Skia performance improvements
• Full ACID3 pass, due to re-enabled remote font support (with added defense against bugs in operating system font libraries)
• HTTP byte range support
• New security feature: "Strict Transport Security" support
• Experimental new anti-reflected-XSS feature called "XSS Auditor"
ฟีเจอร์ที่ได้รับการอัพเดทใน Google Chrome 4.1.249.1059
ใน Google Chrome 4.1.249.1059 มีการอัพเดทฟีเจอร์ต่างๆ ดังนี้
• Fix to prevent crashes with the LastPass extension (Issue 38857)
• Add the option to disable 'Offer to translate pages that aren't in a language I read' in Options > Under the Hood
การแก้ปัญหาด้านความปลอดภัยใน Google Chrome 4.1.249.1059
ใน Google Chrome 4.1.249.1059 มีการแก้ปัญหาด้านความปลอดภัย ดังต่อไปนี้
• [39443] Type confusion error with forms. Credit: kuzzcc. (High)
• [39698] HTTP request error leading to possible XSRF. Credit: Meder Kydyraliev, Google Security Team. (High)
• [40136] Local file reference through developer tools. Credit: Robert Swiecki, Google Security Team; Tavis Ormandy, Google Security Team. (Medium)
• [40137] Cross-site scripting in chrome://net-internals. Credit: Robert Swiecki, Google Security Team; Tavis Ormandy, Google Security Team. (Medium)
• [40138] Cross-site scripting in chrome://downloads. Credit: Robert Swiecki, Google Security Team; Tavis Ormandy, Google Security Team. (High)
• [40575] Pages might load with privileges of the New Tab page. (Medium)
• [40635] Memory corruption in V8 bindings. Credit: kuzzcc; Google Chrome Security Team (SkyLined); Michal Zalewski, Google Security Team. (High)
หมายเหตุ: bug 39443 นั้นถูกค้นพบโดย kuzzcc และได้เงินรางวัลจาก Google จำนวน $500, bug 40635 นั้นถูกค้นพบโดย kuzzcc; Google Chrome Security Team (SkyLined); Michal Zalewski, Google Security Team และได้เงินรางวัลจาก Google จำนวน $500
การดาวน์โหลดและการติดตั้ง Google Chrome 4.1.249.1059
Google Chrome 4.1.249.1059 นั้นสามารถทำงานได้บน Windows XP, Windows Vista และ Windows 7 โดยวิธีการติดตั้งนั้น โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กรณี ดังต่อไปนี้
Google Chrome 4.1.249.1059 for Windows Stable Update
กรณีที่ 1 ยังไม่มีการติดตั้ง Google Chrome อยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถติดตั้งโปรแกรม Google Chrome จากอินเทอร์เน็ตผ่านทางบราวเซอร์ โดยเปิดไปที่เว็บไซต์ www.google.com/chrome จากนั้นดำเนินการคำสั่งบนจอภาพ
กรณีที่ 2 ยังไม่มีการติดตั้ง Google Chrome อยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมติดตั้ง Google Chrome จากเว็บไซต์ Download Google Chrome 4.1.249.1059 มาทำการติดตั้งด้วยตนเอง
กรณีที่ 3 มีการติดตั้ง Google Chrome เวอร์ชัน 4.0.249.89 หรือ เวอร์ชันก่อนหน้าบนเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ก่อนแล้ว สามารถทำการอัพเดทเป็นเวอร์ชัน 4.1.249.1059 ได้ตามขั้นตอนดังนี้
1. เปิดโปรแกรม Google Chrome จากนั้นคลิกที่ไอคอนรูปเครื่องมือ แล้วเลือกคำสั่ง About Google Chrome
About Google Chrome
2. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ About Google Chrome ให้คลิก Update Now แล้วรอจนโปรแกรมทำการติดตั้งแล้วเสร็จ
3. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Please close all Chrome windows and restart Chrome for this change to take effect ให้คลิก OK
4. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ About Google Chrome ให้คลิก OK อีกครั้ง
5. ทำการรีสตาร์ทโปรแกรม Google Chrome เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงมีผล
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
• Google Chrome Releases
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Tuesday, April 20, 2010
Windows 7 Hang at Black Screens on UEFI-Enabled PC
Windows 7 หยุดตอบสนองการทำงานที่หน้าจอดำบนคอมพิวเตอร์ที่เปิดใช้งานโหมด UEFI
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
สืบเนื่องจากมีรายงานก่อนหน้านี้ว่าเกิดปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 และ Windows Server 2008 R2 หยุดตอบสนองการทำงาน (Stop Responding) ที่หน้าจอดำ (Black Screen) เมื่อมีการเปิดใช้งานโหมด Unified Extensible Firmware Interface (UEFI) ล่าสุดไมโครซอฟท์ได้ออกมายืนยันปัญหานี้อย่างเป็นทางการแล้ว โดยได้อธิบายว่าปัญหาดังกล่าวนี้มีสาเหตุมาจากการทำงานผิดพลาดของแอพพลิเคชันตัวใดตัวหนึ่งดังนี้
• แอพพลิเคชัน Windows Operating System Loader (Winload.efi)
• แอพพลิเคชัน Windows Resume Loader (Winresume.efi)
ซึ่งไม่ทำการคลีนอัพเอนทรี่ทั้งหมดในตารางหน้า (Page table) ส่งผลให้เมื่อแอพพลิเคชัน Windows Boot Manager (Bootmgfw.efi) พยายามทำการคลีนอัพเอนทรี่ในตารางหน้าจึงเข้าถึงแอดเดรสหน่วยความจำไม่ถูกต้องทำให้เกิด access violation exception
โดยปัญหานี้จะเกิดได้เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่สถานการณ์ดังนี้
1. เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 หรือ Windows Server 2008 R2
2. มีการเปิดใช้งานโหมด Unified Extensible Firmware Interface (UEFI) บนเครื่องคอมพิวเตอร์
3. ในขณะทำการสตาร์ทระบบเกิดเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
• มีการกดปุ่ม F8 เพื่อเปิดเมนู Advanced Boot Options จากนั้นกดปุ่ม ESC เพื่อยกเลิก
• ทำการสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์จาก Windows installation DVD จากนั้นคลิกอ็อปชัน Repair your computer เพื่อสตาร์ท Windows Recovery Environment (WinRE)
• เกิดความผิดพลาดในการกู้คืนเมื่อระบบทำการโหลดไฟล์ Winload.efi หรือ Winresume.efi จากนั้น Windows Recovery Environment (WinRE) เริ่มต้นทำงาน
หมายเหตุ: ปัญหานี้มีลักษณะคล้ายกับปัญหาที่เกิดเมื่อมีการติดตั้ง "hotfix 980598" บนเครื่องคอมพิวเตอร์
วิธีการแก้ไข
ไมโครซอฟท์ได้พัฒนาฮอตฟิกซ์ (Hotfix) สำหรับใช้แก้ปัญหาดังกล่าวนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 หรือ Windows Server 2008 R2 ที่ประสบปัญหาเครื่องหยุดตอบสนองการทำงานก์ที่หน้าจอดำบนคอมพิวเตอร์ที่เปิดใช้งานโหมด UEFI สามารถดาวน์โหลดฮอตฟิกซ์มาแก้ไขได้จากเว็บไซต์ View and request hotfix downloads
อย่างไรก็ตาม ไมโครซอฟท์ได้แนะนำว่า ให้ผู้ใช้ทำการติดตั้งฮ็อตฟิกซ์ตัวนี้ เฉพาะบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีปัญหาที่อธิบายด้านบนเท่านั้น เนื่องจากฮ็อตฟิกซ์ดังกล่าวนี้ ยังต้องทดสอบการทำงานเพิ่มเติมและจะรวมอยู่ในเซอร์วิสแพ็ค (Service Pack) ในอนาคต
วิธีการนี้สามารถใช้ได้กับ
วิธีการนี้สามารถใช้ได้กับ Windows 7 และ indows Server 2008 R2 รุ่นต่างๆ ดังนี้
• Windows 7 Enterprise
• Windows 7 Home Basic
• Windows 7 Home Premium
• Windows 7 Professional
• Windows 7 Starter
• Windows 7 Ultimate
• Windows Server 2008 R2 Datacenter
• Windows Server 2008 R2 Enterprise
• Windows Server 2008 R2 Standard
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• KB981275
• Softpedia
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
สืบเนื่องจากมีรายงานก่อนหน้านี้ว่าเกิดปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 และ Windows Server 2008 R2 หยุดตอบสนองการทำงาน (Stop Responding) ที่หน้าจอดำ (Black Screen) เมื่อมีการเปิดใช้งานโหมด Unified Extensible Firmware Interface (UEFI) ล่าสุดไมโครซอฟท์ได้ออกมายืนยันปัญหานี้อย่างเป็นทางการแล้ว โดยได้อธิบายว่าปัญหาดังกล่าวนี้มีสาเหตุมาจากการทำงานผิดพลาดของแอพพลิเคชันตัวใดตัวหนึ่งดังนี้
• แอพพลิเคชัน Windows Operating System Loader (Winload.efi)
• แอพพลิเคชัน Windows Resume Loader (Winresume.efi)
ซึ่งไม่ทำการคลีนอัพเอนทรี่ทั้งหมดในตารางหน้า (Page table) ส่งผลให้เมื่อแอพพลิเคชัน Windows Boot Manager (Bootmgfw.efi) พยายามทำการคลีนอัพเอนทรี่ในตารางหน้าจึงเข้าถึงแอดเดรสหน่วยความจำไม่ถูกต้องทำให้เกิด access violation exception
โดยปัญหานี้จะเกิดได้เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่สถานการณ์ดังนี้
1. เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 หรือ Windows Server 2008 R2
2. มีการเปิดใช้งานโหมด Unified Extensible Firmware Interface (UEFI) บนเครื่องคอมพิวเตอร์
3. ในขณะทำการสตาร์ทระบบเกิดเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
• มีการกดปุ่ม F8 เพื่อเปิดเมนู Advanced Boot Options จากนั้นกดปุ่ม ESC เพื่อยกเลิก
• ทำการสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์จาก Windows installation DVD จากนั้นคลิกอ็อปชัน Repair your computer เพื่อสตาร์ท Windows Recovery Environment (WinRE)
• เกิดความผิดพลาดในการกู้คืนเมื่อระบบทำการโหลดไฟล์ Winload.efi หรือ Winresume.efi จากนั้น Windows Recovery Environment (WinRE) เริ่มต้นทำงาน
หมายเหตุ: ปัญหานี้มีลักษณะคล้ายกับปัญหาที่เกิดเมื่อมีการติดตั้ง "hotfix 980598" บนเครื่องคอมพิวเตอร์
วิธีการแก้ไข
ไมโครซอฟท์ได้พัฒนาฮอตฟิกซ์ (Hotfix) สำหรับใช้แก้ปัญหาดังกล่าวนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 หรือ Windows Server 2008 R2 ที่ประสบปัญหาเครื่องหยุดตอบสนองการทำงานก์ที่หน้าจอดำบนคอมพิวเตอร์ที่เปิดใช้งานโหมด UEFI สามารถดาวน์โหลดฮอตฟิกซ์มาแก้ไขได้จากเว็บไซต์ View and request hotfix downloads
อย่างไรก็ตาม ไมโครซอฟท์ได้แนะนำว่า ให้ผู้ใช้ทำการติดตั้งฮ็อตฟิกซ์ตัวนี้ เฉพาะบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีปัญหาที่อธิบายด้านบนเท่านั้น เนื่องจากฮ็อตฟิกซ์ดังกล่าวนี้ ยังต้องทดสอบการทำงานเพิ่มเติมและจะรวมอยู่ในเซอร์วิสแพ็ค (Service Pack) ในอนาคต
วิธีการนี้สามารถใช้ได้กับ
วิธีการนี้สามารถใช้ได้กับ Windows 7 และ indows Server 2008 R2 รุ่นต่างๆ ดังนี้
• Windows 7 Enterprise
• Windows 7 Home Basic
• Windows 7 Home Premium
• Windows 7 Professional
• Windows 7 Starter
• Windows 7 Ultimate
• Windows Server 2008 R2 Datacenter
• Windows Server 2008 R2 Enterprise
• Windows Server 2008 R2 Standard
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• KB981275
• Softpedia
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Google Virtual Keyboard
Google เพิ่มฟีเจอร์ Virtual Keyboard ในหน้า Google search เพื่อช่วยให้การค้นหาในภาษาท้องถิ่นทำได้ง่ายขึ้น
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
Google ได้เพิ่มฟีเจอร์ Virtual Keyboard ในหน้า Google search โดยจะแสดงไอคอนอยู่บริเวณด้านขวาของแถบค้นหา (ดูภาพด้านล่างประกอบ) สำหรับผู้ใช้ที่ทำการค้นหาโดยใช้เว็บไซต์ Google ท้องถิ่น ซึ่งถ้าใครทำการเปิดหน้าเว็บไซต์ Google.co.th ด้วยเว็บเบราเซอร์ Firefox หรือ Internet Explorer ก็จะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ แต่สำหรับผู้ใช้เว็บเบราเซอร์ Chrome นั้นจะปรากฏไอคอนของ Virtual Keyboard ในหน้า SERP
โดยฟีเจอร์ Virtual Keyboard นั้นจะช่วยให้การค้นหาในภาษาท้องถิ่นแบบ non-Latin script-based ซึ่งต้องการอักขระแบบพิเศษ อย่างเช่นภาษา Arabic, Greek และ Thai ทำได้ง่ายขึ้น เนื่องจากผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทำการกดปุ่ม Grave Accent (~) เพื่อสลับระหว่างภาษาอังกฤษกับภาษาท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้งานจากแล็ปท็อป (Laptop) คอมพิวเตอร์
สำหรับวิธีการใช้งาน Virtual Keyboard นั้นทำได้โดยการคลิกไอคอนซึ่งอยู่บริเวณด้านขวาของแถบค้นหา (ภาพด้านบน) ก็จะได้ Virtual Keyboard ดังรูปด้านล่าง จากนั้นคลิกตัวอักษรบน Virtual Keyboard จนได้คำที่ต้องการเสร็จแล้วคลิก "ค้นหา" หรือกดปุ่ม "Enter" บนคีย์บอร์ดกายภาพ โดยการสลับระหว่างตัวอักษรปกติกับตัวอักษรที่ต้องใช้ Shift บน Virtual Keyboard นั้นทำได้โดยการคลิกปุ่ม "A"
นอกจากนี้ ยังสามารถพิมพ์ตัวอักษรในภาษาท้องถิ่นที่ต้องการได้จากคีย์บอร์ดกายภาพโดยไม่ต้องกดปุ่ม Grave Accent (~) ได้อีกด้วย แต่ปัจจุบันฟังก์ชันนี้จะสามารถใช้งานได้เฉพาะในบางภาษาเท่านั้นซึ่งรวมถึงภาษาไทย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Google Web Search
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
Google ได้เพิ่มฟีเจอร์ Virtual Keyboard ในหน้า Google search โดยจะแสดงไอคอนอยู่บริเวณด้านขวาของแถบค้นหา (ดูภาพด้านล่างประกอบ) สำหรับผู้ใช้ที่ทำการค้นหาโดยใช้เว็บไซต์ Google ท้องถิ่น ซึ่งถ้าใครทำการเปิดหน้าเว็บไซต์ Google.co.th ด้วยเว็บเบราเซอร์ Firefox หรือ Internet Explorer ก็จะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ แต่สำหรับผู้ใช้เว็บเบราเซอร์ Chrome นั้นจะปรากฏไอคอนของ Virtual Keyboard ในหน้า SERP
โดยฟีเจอร์ Virtual Keyboard นั้นจะช่วยให้การค้นหาในภาษาท้องถิ่นแบบ non-Latin script-based ซึ่งต้องการอักขระแบบพิเศษ อย่างเช่นภาษา Arabic, Greek และ Thai ทำได้ง่ายขึ้น เนื่องจากผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทำการกดปุ่ม Grave Accent (~) เพื่อสลับระหว่างภาษาอังกฤษกับภาษาท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้งานจากแล็ปท็อป (Laptop) คอมพิวเตอร์
สำหรับวิธีการใช้งาน Virtual Keyboard นั้นทำได้โดยการคลิกไอคอนซึ่งอยู่บริเวณด้านขวาของแถบค้นหา (ภาพด้านบน) ก็จะได้ Virtual Keyboard ดังรูปด้านล่าง จากนั้นคลิกตัวอักษรบน Virtual Keyboard จนได้คำที่ต้องการเสร็จแล้วคลิก "ค้นหา" หรือกดปุ่ม "Enter" บนคีย์บอร์ดกายภาพ โดยการสลับระหว่างตัวอักษรปกติกับตัวอักษรที่ต้องใช้ Shift บน Virtual Keyboard นั้นทำได้โดยการคลิกปุ่ม "A"
นอกจากนี้ ยังสามารถพิมพ์ตัวอักษรในภาษาท้องถิ่นที่ต้องการได้จากคีย์บอร์ดกายภาพโดยไม่ต้องกดปุ่ม Grave Accent (~) ได้อีกด้วย แต่ปัจจุบันฟังก์ชันนี้จะสามารถใช้งานได้เฉพาะในบางภาษาเท่านั้นซึ่งรวมถึงภาษาไทย
Virtual Keyboard in Thai
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Google Web Search
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Office 2010 Releases to Manufacturing
Office 2010 RTM เสร็จสมบูรณ์แล้ว
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
Office 2010 Releases to Manufacturing (RTM) ได้พัฒนาเสร็จสมบูรณ์อย่างเป็นทางการแล้ว โดยจะเปิดให้ลูกค้าที่เป็นสมาชิก MSDN และ Technet ดาวน์โหลดในวันที่ 22 เมษายน 2553 และเปิดให้ลูกค้าแบบ Volume License ซึ่งมี Software Assurance ดาวน์โหลดในวันที่ 27 เมษายน 2553 ผ่านทางเว็บไซต์ Volume Licensing Service Center สำหรับลูกค้าทั่วไปที่ต้องการซื้อ Office 2010 นั้นจะต้องรอจนกว่าจะมีการออกเวอร์ชัน General Availability (GA) ในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ (คาดว่าวันที่ 15) สำหรับหมายเลขเวอร์ชันสุดท้ายของ Office 2010 RTM คือ 14.0.4763.1000
กำหนดการออก Office 2010 สำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่ม
• 22 เมษายน 2553 - เปิดให้ดาวน์โหลด Office 2010 แก่ลูกค้าที่เป็นสมาชิก MSDN และ Technet
• 27 เมษายน 2553 - เปิดให้ดาวน์โหลด Office 2010 แก่ลูกค้าแบบ Volume License ซึ่งมี Software Assurance
• 1 พฤษภาคม 2553 - เปิดให้จำหน่าย Office 2010 แก่ลูกค้าแบบ Volume License ซึ่งไม่มี Software Assurance
• มิถุนายน 2010 - เปิดให้จำหน่าย Office 2010 General Availability (GA) แก่ลูกค้าทั่วไป
Credit: Office Backstage
อนึ่ง หลังจากไมโครซอฟท์ออก Office 2010 RTM อย่างเป็นทางการเพียงแค่วันเดียว มีการรายงานว่า Office 2010 RTM ในฟอร์แมตไฟล์ ISO อิมเมจได้รั่วออกสู่อินเทอร์เน็ตโดยมีการให้ดาวน์โหลดตามเว็บไซต์ BitTorrent ต่างๆ แล้ว (ไม่แนะนำให้ทำการดาวน์โหลดเนื่องจากอาจจะทำให้ติดมัลแวร์ได้)
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Office Backstage
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Monday, April 19, 2010
Download AntiVir Personal 10.0.0.565
AntiVir Personal 10.0.0.565 เวอร์ชันล่าสุดของโปรแกรมป้องกันไวรัสแบบฟรีแวร์
ในปัจจุบันโปรแกรมป้องกันไวรัสแบบฟรีแวร์ (Freeware) สำหรับผู้ใช้วินโดวส์มีให้เลือกใช้งานหลายตัว และจากประสบการณ์การใช้งานด้วยตนเอง โปรแกรม AntiVir Personal ของ Avira เป็นโปรแกรมป้องกันไวรัสแบบฟรีแวร์อีกหนึ่งตัวที่ใช้งานได้ในระดับดี
AntiVir Personal มีการทำงานที่เชื่อถือได้ มีระบบการสแกนไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถป้องกันภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆ เช่น Virus, Trojan, Backdoor Program, Hoax, Worm, Dialer เป็นต้น นับเป็นโปรแกรมป้องกันไวรัสแบบฟรีแวร์ตัวหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้มากเป็นอันดับต้นๆ โดยสามารถใช้ได้ฟรีสำหรับการใช้งานแบบส่วนตัว
ล่าสุดมื่อวันที่ 16 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา Avira ออก AntiVir Personal 10.0.0.565 ซึ่งเป็นรีลีสที่ 2 ของ เมเจอร์เวอร์ชัน AntiVir Personal 10.0.0 สามารถทำงานได้บนระบบปฏิบัติการ Windows 7 (32 Bit และ 64 Bit), Windows Vista (32 Bit และ 64 Bit), Windows XP Home หรือ Professional (แนะนำให้ติดตั้ง SP2), Windows 2000 (แนะนำให้ติดตั้ง SP4)
ดาวน์โหลด AntiVir Personal 10.0.0.565
ท่านใดที่กำลังมองหาโปรแกรมไวรัสแบบฟรีแวร์ไว้ใช้งาน สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บไซต์ Download AntiVir Personal 10.0.0.565 (ไฟล์ประเภท .EXE) (ไฟล์ติดตั้งมีขนาดประมาณ 42.05 MB / Md5: 79bd311cd2bea94feb62d6379e899221) หรือเลือกดาวน์โหลดจากเซิร์ฟเวอร์เว็บไซต์ Download Servers
ฟีเจอร์ใหม่ในโปรแกรม AntiVir Personal 10.0.0.565
AntiVir Personal 10.0.0.565 นั้นเป็นเมนเทนเนนท์รีลีส (Maintenance) โดยไม่มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใดๆ
ฟีเจอร์หลักของโปรแกรม AntiVir Personal 10.0.0.565
ฟีเจอร์หลักของโปรแกรม AntiVir Personal 10.0.0.565 มีดังนี้
• มีฟีเจอร์ Anti-spyware และ Anti-adware
• มีฟีเจอร์ Anti Virus ป้องกันคอมพิวเตอร์จากไวรัส เวิร์ม และโทรจัน
• มีฟีเจอร์ Anti Dialer ป้องกันคอมพิวเตอร์จากการโจมตีแบบไดอัลเลอร์
• มีฟีเจอร์ Anti Rootkit ป้องกันคอมพิวเตอร์จาก Rootkit
• มีฟีเจอร์ Anti Phishing ป้องกันคอมพิวเตอร์จาก Phishing
ความต้องการระบบ
AntiVir Personal 10.0.0.565 มีความต้องการระบบดังนี้
• มีซีพียูขั้นต่ำ Pentium ความเร็วอย่างน้อย 266 MHz
• หน่วยความจำขั้นต่ำ 192 MB สำหรับ Windows 2000/XP และ 512 MB สำหรับ Windows Vista/7
• พื้นที่ฮาร์ดดิสก์ขั้นต่ำ 130 MB (30 MB สำหรับติดตั้งโปรแกรม และ 100 MB สำหรับใช้เก็บข้อมูลชั่วคราว
• การติดตั้งบน Windows 2000/XP/Vista/7 จะต้องใช้สิทธิ์ระดับ Administrator
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Free-av.com
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
ในปัจจุบันโปรแกรมป้องกันไวรัสแบบฟรีแวร์ (Freeware) สำหรับผู้ใช้วินโดวส์มีให้เลือกใช้งานหลายตัว และจากประสบการณ์การใช้งานด้วยตนเอง โปรแกรม AntiVir Personal ของ Avira เป็นโปรแกรมป้องกันไวรัสแบบฟรีแวร์อีกหนึ่งตัวที่ใช้งานได้ในระดับดี
AntiVir Personal มีการทำงานที่เชื่อถือได้ มีระบบการสแกนไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถป้องกันภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆ เช่น Virus, Trojan, Backdoor Program, Hoax, Worm, Dialer เป็นต้น นับเป็นโปรแกรมป้องกันไวรัสแบบฟรีแวร์ตัวหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้มากเป็นอันดับต้นๆ โดยสามารถใช้ได้ฟรีสำหรับการใช้งานแบบส่วนตัว
ล่าสุดมื่อวันที่ 16 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา Avira ออก AntiVir Personal 10.0.0.565 ซึ่งเป็นรีลีสที่ 2 ของ เมเจอร์เวอร์ชัน AntiVir Personal 10.0.0 สามารถทำงานได้บนระบบปฏิบัติการ Windows 7 (32 Bit และ 64 Bit), Windows Vista (32 Bit และ 64 Bit), Windows XP Home หรือ Professional (แนะนำให้ติดตั้ง SP2), Windows 2000 (แนะนำให้ติดตั้ง SP4)
ดาวน์โหลด AntiVir Personal 10.0.0.565
ท่านใดที่กำลังมองหาโปรแกรมไวรัสแบบฟรีแวร์ไว้ใช้งาน สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บไซต์ Download AntiVir Personal 10.0.0.565 (ไฟล์ประเภท .EXE) (ไฟล์ติดตั้งมีขนาดประมาณ 42.05 MB / Md5: 79bd311cd2bea94feb62d6379e899221) หรือเลือกดาวน์โหลดจากเซิร์ฟเวอร์เว็บไซต์ Download Servers
ฟีเจอร์ใหม่ในโปรแกรม AntiVir Personal 10.0.0.565
AntiVir Personal 10.0.0.565 นั้นเป็นเมนเทนเนนท์รีลีส (Maintenance) โดยไม่มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใดๆ
ฟีเจอร์หลักของโปรแกรม AntiVir Personal 10.0.0.565
ฟีเจอร์หลักของโปรแกรม AntiVir Personal 10.0.0.565 มีดังนี้
• มีฟีเจอร์ Anti-spyware และ Anti-adware
• มีฟีเจอร์ Anti Virus ป้องกันคอมพิวเตอร์จากไวรัส เวิร์ม และโทรจัน
• มีฟีเจอร์ Anti Dialer ป้องกันคอมพิวเตอร์จากการโจมตีแบบไดอัลเลอร์
• มีฟีเจอร์ Anti Rootkit ป้องกันคอมพิวเตอร์จาก Rootkit
• มีฟีเจอร์ Anti Phishing ป้องกันคอมพิวเตอร์จาก Phishing
ความต้องการระบบ
AntiVir Personal 10.0.0.565 มีความต้องการระบบดังนี้
• มีซีพียูขั้นต่ำ Pentium ความเร็วอย่างน้อย 266 MHz
• หน่วยความจำขั้นต่ำ 192 MB สำหรับ Windows 2000/XP และ 512 MB สำหรับ Windows Vista/7
• พื้นที่ฮาร์ดดิสก์ขั้นต่ำ 130 MB (30 MB สำหรับติดตั้งโปรแกรม และ 100 MB สำหรับใช้เก็บข้อมูลชั่วคราว
• การติดตั้งบน Windows 2000/XP/Vista/7 จะต้องใช้สิทธิ์ระดับ Administrator
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Free-av.com
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Sunday, April 18, 2010
Download Microsoft Windows Malicious Software Removal Tool 3.6
Malicious Software Removal Tool 3.6 โปรแกรมกำจัดไวรัสจากไมโครซอฟท์
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
ไมโครซอฟท์เปิดให้ดาวน์โหลด Malicious Software Removal Tool (MSRT) 3.6 ซึ่งเป็นเวอร์ชันอัพเดทล่าสุดของโปรแกรมตรวจสอบและลบไวรัสและมัลแวร์แบบ Standalone สำหรับผู้ใช้วินโดวส์ เป็นซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดยไมโครซอฟท์และให้ใช้งานได้ฟรี
Malicious Software Removal Tool สามารถทำงานได้บน Windows 2000, Windows XP, Windows Server 2003, Windows Vista และ Windows 7 สามารถลบไวรัสได้หลายตัว อย่างเช่น Blaster, Sasser และ Mydoom โดยหลังจากโปรแกรมทำการตรวจสอบแล้วเสร็จ จะสร้างรายงานผลการสแกนในไฟล์ชื่อ mrt.log ซึ่งจะอยู่ในโฟลเดอร์ %WINDIR%\debug
ท่านใดสนใจทดลองใช้งาน Malicious Software Removal Tool สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บไซต์ในหัวข้อ "รายละเอียดโปรแกรม Malicious Software Removal Tool" ด้านล่าง
วิธีการใช้งาน
วิธีการใช้งานนั้น หลังจากทำการดาวน์โหลดเสร็จเรียบร้อยแล้วสามารถใช้งานโดยการดับเบิลคลิกไฟล์ได้ในทันทีโดยไม่จำเป็นต้องทำการติดตั้งลงเครื่อง สำหรับด้านการทำงานนั้นจะมีอยู่ 3 โหมด ด้วยกัน คือ Quick Scan ซึ่งจะทำการสแกนเฉพาะส่วนของระบบที่พบไวรัสบ่อย Full Scan ทำการสแกนทั้งระบบซึ่งจะใช้เวลาค่อนข้างนาน และ Customized Scan ซึ่งผู้ใช้จะสามารถเลือกโฟลเดอร์ที่จะทำการสแกนได้ โดยในเวอร์ชัน 3.6 นี้ได้เพิ่มการลบไวรัส Magania
รายละเอียดโปรแกรม Microsoft Windows Malicious Software Removal Tool
ชื่อไฟล์:
- เวอร์ชัน x32: windows-kb890830-v3.6.exe
- เวอร์ชัน x64: windows-kb890830-x64-v3.6.exe
เวอร์ชัน: 3.6
หมายเลข Knowledge Base (KB): KB890830
วันที่ออก: April/13/2010
ขนาดของไฟล์:
- เวอร์ชัน x32: 9.6 MB
- เวอร์ชัน x64: 9.9 MB
เวลาในการดาวน์โหลดโดยประมาณ:
- เวอร์ชัน x32: 2 นาที DSL/Cable - 768K
- เวอร์ชัน x64: 2 นาที DSL/Cable - 768K
ภาษา: อังกฤษ และภาษาอื่นๆ อีก 23 ภาษา
การดาวน์โหลด Malicious Software Removal Tool 3.6
สามารถทำการดาวน์โหลด Malicious Software Removal Tool 3.6 ได้ฟรีจากเว็บไซต์ดังนี้
• เวอร์ชัน x32: Download Malicious software removal tool v3.6 x32
• เวอร์ชัน x64: Download Malicious software removal tool v3.6 x64
ความต้องการระบบ:
Microsoft Malicious Software Removal Tool สามารถทำงานได้บนระบบปฏิบัติการ Windows 2000, Windows XP, Windows Server 2003, Windows Vista และ Windows 7
ข้อควรทราบ:
โปรแกรม Malicious Software Removal Tool นั้น ไม่ได้ทำหน้าที่แทนโปรแกรมป้องกันไวรัส ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยแนะนำให้ทำการติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสบนเครื่องคอมพิวเตอร์และทำการอัพเดทฐานข้อมูลไวรัสทุกๆ วัน สามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับโปรแกรมป้องกันไวรัสแบบฟรีเวอร์ชันได้ที่ Free AntiVirus Download
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
• Malicious Software Removal Tool
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
ไมโครซอฟท์เปิดให้ดาวน์โหลด Malicious Software Removal Tool (MSRT) 3.6 ซึ่งเป็นเวอร์ชันอัพเดทล่าสุดของโปรแกรมตรวจสอบและลบไวรัสและมัลแวร์แบบ Standalone สำหรับผู้ใช้วินโดวส์ เป็นซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดยไมโครซอฟท์และให้ใช้งานได้ฟรี
Malicious Software Removal Tool สามารถทำงานได้บน Windows 2000, Windows XP, Windows Server 2003, Windows Vista และ Windows 7 สามารถลบไวรัสได้หลายตัว อย่างเช่น Blaster, Sasser และ Mydoom โดยหลังจากโปรแกรมทำการตรวจสอบแล้วเสร็จ จะสร้างรายงานผลการสแกนในไฟล์ชื่อ mrt.log ซึ่งจะอยู่ในโฟลเดอร์ %WINDIR%\debug
ท่านใดสนใจทดลองใช้งาน Malicious Software Removal Tool สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บไซต์ในหัวข้อ "รายละเอียดโปรแกรม Malicious Software Removal Tool" ด้านล่าง
วิธีการใช้งาน
วิธีการใช้งานนั้น หลังจากทำการดาวน์โหลดเสร็จเรียบร้อยแล้วสามารถใช้งานโดยการดับเบิลคลิกไฟล์ได้ในทันทีโดยไม่จำเป็นต้องทำการติดตั้งลงเครื่อง สำหรับด้านการทำงานนั้นจะมีอยู่ 3 โหมด ด้วยกัน คือ Quick Scan ซึ่งจะทำการสแกนเฉพาะส่วนของระบบที่พบไวรัสบ่อย Full Scan ทำการสแกนทั้งระบบซึ่งจะใช้เวลาค่อนข้างนาน และ Customized Scan ซึ่งผู้ใช้จะสามารถเลือกโฟลเดอร์ที่จะทำการสแกนได้ โดยในเวอร์ชัน 3.6 นี้ได้เพิ่มการลบไวรัส Magania
รายละเอียดโปรแกรม Microsoft Windows Malicious Software Removal Tool
ชื่อไฟล์:
- เวอร์ชัน x32: windows-kb890830-v3.6.exe
- เวอร์ชัน x64: windows-kb890830-x64-v3.6.exe
เวอร์ชัน: 3.6
หมายเลข Knowledge Base (KB): KB890830
วันที่ออก: April/13/2010
ขนาดของไฟล์:
- เวอร์ชัน x32: 9.6 MB
- เวอร์ชัน x64: 9.9 MB
เวลาในการดาวน์โหลดโดยประมาณ:
- เวอร์ชัน x32: 2 นาที DSL/Cable - 768K
- เวอร์ชัน x64: 2 นาที DSL/Cable - 768K
ภาษา: อังกฤษ และภาษาอื่นๆ อีก 23 ภาษา
การดาวน์โหลด Malicious Software Removal Tool 3.6
สามารถทำการดาวน์โหลด Malicious Software Removal Tool 3.6 ได้ฟรีจากเว็บไซต์ดังนี้
• เวอร์ชัน x32: Download Malicious software removal tool v3.6 x32
• เวอร์ชัน x64: Download Malicious software removal tool v3.6 x64
ความต้องการระบบ:
Microsoft Malicious Software Removal Tool สามารถทำงานได้บนระบบปฏิบัติการ Windows 2000, Windows XP, Windows Server 2003, Windows Vista และ Windows 7
ข้อควรทราบ:
โปรแกรม Malicious Software Removal Tool นั้น ไม่ได้ทำหน้าที่แทนโปรแกรมป้องกันไวรัส ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยแนะนำให้ทำการติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสบนเครื่องคอมพิวเตอร์และทำการอัพเดทฐานข้อมูลไวรัสทุกๆ วัน สามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับโปรแกรมป้องกันไวรัสแบบฟรีเวอร์ชันได้ที่ Free AntiVirus Download
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
• Malicious Software Removal Tool
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
Saturday, April 17, 2010
Download Microsoft Security ISO Image April 2010
ดาวน์โหลดไฟล์อิมเมจของไมโครซอฟท์ซีเคียวริตี้อัพเดทของเดือนเมษายน 2553
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
ไมโครซอฟท์เปิดให้ดาวน์โหลดไฟล์อิมเมจ (ISO Image) ของการอัพเดทของเดือนเมษายน 2553 ได้แล้ว โดยจะเป็นการรวม "Microsoft Security Update for April 2010" ทั้งหมดซึ่งออกเมื่อวันที่ 13 ที่ผ่านมาเข้าเป็นไฟล์เดียว ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ใช้วินโดวส์และซอฟต์แวร์ของไมโครซอฟท์ซึ่งไม่สะดวกในการอัพเดทวินโดวส์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต สามารถทำการดาวน์โหลดจากออฟฟิชหรือร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ เพื่อนำไปทำการอัพเดทเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
ไฟล์ซีเคียวริตี้อัพเดทอิมเมจดังกล่าวนี้ สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บไซต์ของไมโครซอฟท์ตามรายละเอียดด้านล่าง โดยไฟล์อิมเมจอยู่ในรูปฟอร์แมต DVD5 ISO ดังนั้น หลังจากดาวน์โหลดเสร็จแล้วจะต้องทำการเบิร์นลงแผ่น DVD ก่อน จึงจะสามารถนำไปใช้อัพเดทเครื่องคอมพิวเตอร์ได้
หมายเหตุ: สามารถอ่านรายละเอียดและดาวน์โหลดโปรแกรมสำหรับเบิร์นไฟล์อิมเมจแบบฟรีแวร์ได้ที่เว็บไซต์ Free CD and DVD Burning Softwares
รายละเอียดไฟล์อิมเมจของไมโครซอฟท์ซีเคียวริตี้อัพเดทของเดือนเมษายน 2553
ชื่อไฟล์: Windows-KB913086-201004-1.iso, Windows-KB913086-201004-2.iso
เวอร์ชัน: 913086
หมายเลขของการอัพเดท: MS10-018, MS10-019, MS10-020, MS10-021, MS10-022, MS10-024, MS10-025, MS10-026, MS10-027, MS10-029
หมายเลข Knowledge Base (KB): KB976323, KB977816, KB978338, KB978601, KB979309, KB979402, KB979683, KB980182, KB980232, KB980858, KB981332, KB981349, KB981350
ขนาดของไฟล์: 1009.3 MB - 3820.4 MB
ฟอร์แมต: ISO-9660 DVD5
วันที่ออก: April/12/2010
ภาษา: English และภาษาอื่นๆ อีก 23 ภาษา
การดาวน์โหลดไฟล์อิมเมจของไมโครซอฟท์ซีเคียวริตี้อัพเดทของเดือนเมษายน 2553
ไฟล์อิมเมจของไมโครซอฟท์ซีเคียวริตี้อัพเดทของเดือนเมษายน 2553 นั้นมีจำนวนทั้งหมด 2 ไฟล์ สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บไซต์
• Download April 2010 Security ISO Image File 1 (1009.3 MB)
• Download April 2010 Security ISO Image File 2 (2811.1 MB)
ซีเคียวริตี้อัพเดทที่บรรจุในอยู่ไฟล์อิมเมจ
ในฟล์อิมเมจของเดือนธันวาคมนี้ จะบรรจุซีเคียวริตี้อัพเดทต่างๆ ดังนี้
• KB980182 / (MS10-018)
- Windows 2000
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Vista
- Windows Vista for x64-based Systems
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
- Windows Server 2008 for Itanium-based Systems
- Windows 7
- Windows 7 for x64-based Systems
- Windows Server 2008 R2 x64 Edition
- Windows Server 2008 R2 for Itanium-based Systems
• KB978601 / (MS10-019)
- Windows 2000
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Vista
- Windows Vista for x64-based Systems
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
- Windows Server 2008 for Itanium-based Systems
- Windows 7
- Windows 7 for x64-based Systems
- Windows Server 2008 R2 x64 Edition
- Windows Server 2008 R2 for Itanium-based Systems
• KB979309 / (MS10-019)
- Windows 2000
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Vista
- Windows Vista for x64-based Systems
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
- Windows Server 2008 for Itanium-based Systems
- Windows 7
- Windows 7 for x64-based Systems
- Windows Server 2008 R2 x64 Edition
- Windows Server 2008 R2 for Itanium-based Systems
• KB980232 / (MS10-020)
- Windows 2000
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Vista
- Windows Vista for x64-based Systems
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
- Windows Server 2008 for Itanium-based Systems
- Windows 7
- Windows 7 for x64-based Systems
- Windows Server 2008 R2 x64 Edition
- Windows Server 2008 R2 for Itanium-based Systems
• KB979683 / (MS10-021)
- Windows 2000
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Vista
- Windows Vista for x64-based Systems
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
- Windows Server 2008 for Itanium-based Systems
- Windows 7
- Windows 7 for x64-based Systems
- Windows Server 2008 R2 x64 Edition
- Windows Server 2008 R2 for Itanium-based Systems
• KB981332 / (MS10-022)
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Vista
- Windows Vista for x64-based Systems
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
- Windows 7
- Windows 7 for x64-based Systems
- Windows Server 2008 R2 x64 Edition
- Windows Server 2008 R2 for Itanium-based Systems
• KB981349 / (MS10-022)
- Windows 2000
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Vista
- Windows Vista for x64-based Systems
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
- Windows Server 2008 for Itanium-based Systems
• KB981350 / (MS10-022)
- Windows 2000
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
• KB976323 / (MS10-024)
- Windows 2000
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
- Windows Server 2008 R2 x64 Edition
• KB980858 / (MS10-025)
- Windows 2000
• KB977816 / (MS10-026)
- Windows 2000
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Vista
- Windows Vista for x64-based Systems
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
• KB979402 / (MS10-027)
- Windows 2000
- Windows XP
• KB978338 / (MS10-029)
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Vista
- Windows Vista for x64-based Systems
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
- Windows Server 2008 for Itanium-based Systems
ระบบปฏิบัติการที่รองรับ
ไฟล์อิมเมจของไมโครซอฟท์ซีเคียวริตี้อัพเดทของเดือนเมษายน 2553 สามารถใช้งานได้บนระบบปฏิบัติการ Windows 2000; Windows Server 2003 Service Pack 2; Windows Server 2003 Service Pack 2 for Itanium-based Systems; Windows Server 2003 Service Pack 2 x64 Edition; Windows Server 2008; Windows Server 2008 Service Pack 2; Windows Vista; Windows Vista Service Pack 1; Windows Vista Service Pack 2; Windows XP Professional x64 Edition ; Windows XP Service Pack 2; Windows XP Service Pack 3
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Security updates are available on ISO-9660 DVD5 image files from the Microsoft Download Center
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog
ไมโครซอฟท์เปิดให้ดาวน์โหลดไฟล์อิมเมจ (ISO Image) ของการอัพเดทของเดือนเมษายน 2553 ได้แล้ว โดยจะเป็นการรวม "Microsoft Security Update for April 2010" ทั้งหมดซึ่งออกเมื่อวันที่ 13 ที่ผ่านมาเข้าเป็นไฟล์เดียว ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ใช้วินโดวส์และซอฟต์แวร์ของไมโครซอฟท์ซึ่งไม่สะดวกในการอัพเดทวินโดวส์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต สามารถทำการดาวน์โหลดจากออฟฟิชหรือร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ เพื่อนำไปทำการอัพเดทเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
ไฟล์ซีเคียวริตี้อัพเดทอิมเมจดังกล่าวนี้ สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บไซต์ของไมโครซอฟท์ตามรายละเอียดด้านล่าง โดยไฟล์อิมเมจอยู่ในรูปฟอร์แมต DVD5 ISO ดังนั้น หลังจากดาวน์โหลดเสร็จแล้วจะต้องทำการเบิร์นลงแผ่น DVD ก่อน จึงจะสามารถนำไปใช้อัพเดทเครื่องคอมพิวเตอร์ได้
หมายเหตุ: สามารถอ่านรายละเอียดและดาวน์โหลดโปรแกรมสำหรับเบิร์นไฟล์อิมเมจแบบฟรีแวร์ได้ที่เว็บไซต์ Free CD and DVD Burning Softwares
รายละเอียดไฟล์อิมเมจของไมโครซอฟท์ซีเคียวริตี้อัพเดทของเดือนเมษายน 2553
ชื่อไฟล์: Windows-KB913086-201004-1.iso, Windows-KB913086-201004-2.iso
เวอร์ชัน: 913086
หมายเลขของการอัพเดท: MS10-018, MS10-019, MS10-020, MS10-021, MS10-022, MS10-024, MS10-025, MS10-026, MS10-027, MS10-029
หมายเลข Knowledge Base (KB): KB976323, KB977816, KB978338, KB978601, KB979309, KB979402, KB979683, KB980182, KB980232, KB980858, KB981332, KB981349, KB981350
ขนาดของไฟล์: 1009.3 MB - 3820.4 MB
ฟอร์แมต: ISO-9660 DVD5
วันที่ออก: April/12/2010
ภาษา: English และภาษาอื่นๆ อีก 23 ภาษา
การดาวน์โหลดไฟล์อิมเมจของไมโครซอฟท์ซีเคียวริตี้อัพเดทของเดือนเมษายน 2553
ไฟล์อิมเมจของไมโครซอฟท์ซีเคียวริตี้อัพเดทของเดือนเมษายน 2553 นั้นมีจำนวนทั้งหมด 2 ไฟล์ สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บไซต์
• Download April 2010 Security ISO Image File 1 (1009.3 MB)
• Download April 2010 Security ISO Image File 2 (2811.1 MB)
ซีเคียวริตี้อัพเดทที่บรรจุในอยู่ไฟล์อิมเมจ
ในฟล์อิมเมจของเดือนธันวาคมนี้ จะบรรจุซีเคียวริตี้อัพเดทต่างๆ ดังนี้
• KB980182 / (MS10-018)
- Windows 2000
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Vista
- Windows Vista for x64-based Systems
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
- Windows Server 2008 for Itanium-based Systems
- Windows 7
- Windows 7 for x64-based Systems
- Windows Server 2008 R2 x64 Edition
- Windows Server 2008 R2 for Itanium-based Systems
• KB978601 / (MS10-019)
- Windows 2000
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Vista
- Windows Vista for x64-based Systems
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
- Windows Server 2008 for Itanium-based Systems
- Windows 7
- Windows 7 for x64-based Systems
- Windows Server 2008 R2 x64 Edition
- Windows Server 2008 R2 for Itanium-based Systems
• KB979309 / (MS10-019)
- Windows 2000
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Vista
- Windows Vista for x64-based Systems
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
- Windows Server 2008 for Itanium-based Systems
- Windows 7
- Windows 7 for x64-based Systems
- Windows Server 2008 R2 x64 Edition
- Windows Server 2008 R2 for Itanium-based Systems
• KB980232 / (MS10-020)
- Windows 2000
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Vista
- Windows Vista for x64-based Systems
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
- Windows Server 2008 for Itanium-based Systems
- Windows 7
- Windows 7 for x64-based Systems
- Windows Server 2008 R2 x64 Edition
- Windows Server 2008 R2 for Itanium-based Systems
• KB979683 / (MS10-021)
- Windows 2000
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Vista
- Windows Vista for x64-based Systems
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
- Windows Server 2008 for Itanium-based Systems
- Windows 7
- Windows 7 for x64-based Systems
- Windows Server 2008 R2 x64 Edition
- Windows Server 2008 R2 for Itanium-based Systems
• KB981332 / (MS10-022)
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Vista
- Windows Vista for x64-based Systems
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
- Windows 7
- Windows 7 for x64-based Systems
- Windows Server 2008 R2 x64 Edition
- Windows Server 2008 R2 for Itanium-based Systems
• KB981349 / (MS10-022)
- Windows 2000
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Vista
- Windows Vista for x64-based Systems
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
- Windows Server 2008 for Itanium-based Systems
• KB981350 / (MS10-022)
- Windows 2000
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
• KB976323 / (MS10-024)
- Windows 2000
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
- Windows Server 2008 R2 x64 Edition
• KB980858 / (MS10-025)
- Windows 2000
• KB977816 / (MS10-026)
- Windows 2000
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Vista
- Windows Vista for x64-based Systems
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
• KB979402 / (MS10-027)
- Windows 2000
- Windows XP
• KB978338 / (MS10-029)
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 x64 Edition
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems
- Windows XP
- Windows XP x64 Edition
- Windows Vista
- Windows Vista for x64-based Systems
- Windows Server 2008
- Windows Server 2008 x64 Edition
- Windows Server 2008 for Itanium-based Systems
ระบบปฏิบัติการที่รองรับ
ไฟล์อิมเมจของไมโครซอฟท์ซีเคียวริตี้อัพเดทของเดือนเมษายน 2553 สามารถใช้งานได้บนระบบปฏิบัติการ Windows 2000; Windows Server 2003 Service Pack 2; Windows Server 2003 Service Pack 2 for Itanium-based Systems; Windows Server 2003 Service Pack 2 x64 Edition; Windows Server 2008; Windows Server 2008 Service Pack 2; Windows Vista; Windows Vista Service Pack 1; Windows Vista Service Pack 2; Windows XP Professional x64 Edition ; Windows XP Service Pack 2; Windows XP Service Pack 3
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• Security updates are available on ISO-9660 DVD5 image files from the Microsoft Download Center
© 2010 TWA Blog. All Rights Reserved.