Pages - Menu

Pages - Menu

Pages

Friday, July 31, 2009

Nero 9 Free version

เบิร์นข้อมูลด้วย Nero 9 ฟรีเวอร์ชัน

อัปเดท 3 ธ.ค.53: Nero ได้ออกเวอร์ชันใหม่คือ Nero BurnLite 10.0.10600 ต้องการดาวน์โหลด คลิกที่นี่

Nero 9 Free version
ถ้าพูดถึงโปรแกรมสำหรับใช้เบิร์น (Burn) ข้อมูลแล้ว ผมเชื่อว่าโปรแกรม Nero คงเป็นชื่อในอับดับต้นๆ ที่จะถูกกล่าวถึง เนื่องจากเป็นโปรแกรมเบิร์นแผ่นซีดี (CD) และดีวีดี (DVD) ที่ได้รับความนิยมใช้งานกันอย่างกว้างขวาง

สำหรับ Nero 9 นั้นนับเป็นเจ็นเนอเรชันใหม่ของโปรแกรม Nero มีคุณสมบัติต่างๆ ให้ใช้งานมากมาย รองรับการสร้างเนื้อหาแบบมัลติมีเดียหลากหลายประเภท รองรับการเบิร์นมีเดียครอบคลุมทุกประเภทที่เป็นที่นิยมใช้งานในปัจจุบัน มีระบบอินเทอร์เฟชสวยงามและใช้งานง่าย

ก่อนหน้านี้โปรแกรม Nero จะมีเฉพาะเวอร์ชันเชิงพาณิชย์ที่ต้องเสียเงินซื้อลิขสิทธิ์ จึงทำให้ผู้ใช้บางส่วนที่ต้องการใช้งานเพียงฟังก์ชันพื้นฐาน อย่างเช่น เบิร์นข้อมูลลงแผ่นซีดีหรือทำการก็อปปี้ดีวีดี ต้องตัดใจหันไปใช้โปรแกรมตัวอื่นที่เป็นฟรีแวร์ (Freeware) แทน อย่างไรก็ตาม ทาง Nero คงได้ตระหนักถึงข้อจำกัดนี้ ดังนั้น จึงได้ออกโปรแกรม Nero 9 Free version ซึ่งมีฟังก์ชันพื้นฐานสำหรับการใช้งานทั่วไปอย่างเช่นเบิร์นหรือก็อปปี้ข้อมูลลองซีดีและอนุญาตให้ใช้งานได้ฟรีๆ

Download Nero 9 Free version
Nero 9 Free version เป็นเวอร์ชันที่สามารถใช้งานได้ฟรี ท่านใดสนใจใช้งานสามารถลงทะเบียนและดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ Download Nero 9 Free version (55 MB)

รายละเอียดโปรแกรม Nero 9 Free version
Version: 9.4.12.3
Release Date: July 30, 2009
File Size: 55 MB (57.187.288 bytes)
MD5 checksum: 11c83041227b73c0c490ffe16a5d65c3

ฟีเจอร์เด่นของ Nero 9
- Fast and easy rip, burn, Autobackup, and copy functions
- Backup files to CDs, DVDs, and Blu-ray Discs*
- Create professional-looking DVD movies with integrated 3D menus
- Copy, burn, share, upload, and create music mixes like a DJ
- Convert music, photos, and DVDs to play on your iPod® and other mobile devices
- Quick photo and video upload to My Nero, YouTube™, and MySpace
- Watch, record, pause, and customize your live TV experience
- Play AVCHD and other HD formats

ข้อจำกัดของ Nero 9 Free version
Nero 9 Free version นั้น รองรับการใช้งานขั้นพื้นฐาน คือ สามารถใช้ในการเบิร์นข้อมูลลงแผ่นดิสก์ CDs และ DVDs หรือการก็อปปี้แผ่นดิสก์ CDs และ DVDs หากต้องการใช้งานฟังก์ชันต่างๆ แบบเต็มรูปแบบสามารถอัพเกรดเป็นเวอร์ชันเต็ม (Full version) แต่ต้องเสียเงินเพิ่ม

ความต้องการระบบของโปรแกรม Nero 9 Free version
Nero 9 Free version มีความต้องการระบบในด้านต่างๆ ดังนี้
• ระบบปฏิบัติการที่รองรับ: Windows XP SP2 หรือ SP3, Windows Vista, Windows 7, Windows XP Media Center Edition 2005 with SP2 ทั้งเวอร์ชัน 32-bit และ 64-bit
• ซีพียู: Intel หรือ AMD มีความเร็วอย่างต่ำ 1 GHz
• พื้นที่ฮาร์ดดิสก์: 270-500 MB

บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

© 2009 TWAB. All Rights Reserved.

Google Chrome 2.0.172.39 Stable Update

Google Chrome 2.0.172.39 อัพเดทเวอร์ชันใหม่แก้ไขหนึ่งข้อผิดพลาด
Google ออก Google Chrome เวอร์ชัน 2.0.172.39 เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดเกี่ยวกับการทำงานของปุ่มย้อนกลับ (Back Button) ซึ่งมีปัญหาในบางเว็บไซต์ โดยปัญหาดังกล่าวนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของโปรแกรม

การแก้ไขข้อผิดพลาดใน Google Chrome 2.0.172.39
ใน Google Chrome 2.0.172.39 มีการแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ ดังนี้
• แก้ไขข้อผิดพลาดเกี่ยวกับการทำงานของปุ่มย้อนกลับ (back button) ซึ่งมีปัญหาในบางเว็บไซต์

การดาวน์โหลดและการติดตั้ง Google Chrome 2.0
สำหรับวิธีการติดตั้งนั้นแบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้

กรณีที่ 1 ยังไม่ได้ติดตั้งเวอร์ชัน Google Chrome 2.0.172.xx บนเครื่อง สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมติดตั้งผ่านทางบราวเซอร์ Google Chrome โดยเปิดไปที่เว็บไซต์ www.google.com/chrome หรือดาวน์โหลดโปรแกรมติดตั้ง Google Chrome จากเว็บไซต์ Download Google Chrome 2.0.172.39 มาทำการติดตั้งด้วยตนเอง

กรณีที่ 2 มีการติดตั้ง Google Chrome เวอร์ชัน 2.0.172.xx บนเครื่องอยู่ก่อนแล้ว สามารถทำการอัพเดทเป็นเวอร์ชัน 2.0.172.39 ได้ตามขั้นตอนดังนี้

1. เปิดโปรแกรม Google Chrome จากนั้นคลิกที่ไอคอนรูปเครื่องมือ แล้วเลือกคำสั่ง About Google Chrome


รูปที่ 1 About Google Chrome

2. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ About Google Chrome ให้คลิก Update Now แล้วรอจนโปรแกรมทำการติดตั้งแล้วเสร็จ

3. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Please close all Chrome windows and restart Chrome for this change to take effect ให้คลิก OK

4. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ About Google Chrome ให้คลิก OK อีกครั้ง

5. ทำการรีสตาร์ทโปรแกรม Chrome เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงมีผล

หลังจากทำการรีสตาร์ทเสร็จแล้วก็สามารถใช้งานโปรแกรม Chrome ได้ตามปกติ โดยหมายเลขเวอร์ชันคือ 2.0.172.39


รูปที่ 2 Google Chrome 2.0.172.39

บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
• http://chrome.blogspot.com/
• http://googlechromereleases.blogspot.com

© 2009 TWAB. All Rights Reserved.

Thursday, July 30, 2009

Adobe Releases Flash Player Update

Adobe ออกแพตซ์สำหรับปิดช่องโหว่ร้ายแรงในโปรแกรม Adobe Flash Player
บทความโดย: Windows Administrator Blog

สืบเนื่องจากการตรวจพบช่องโหว่ความปลอดภัยซึ่งร้ายแรงระดับ Critical ในโปรแกรม Adobe Flash Player 9.0.159.0 และ 10.0.22.87 ทั้งเวอร์ชันสำหรับระบบ Windows Macintosh และ Linux

ล่าสุดทาง Adobe ได้แนะนำให้ผู้ที่ใช้โปรแกรม Flash Player 10.0.22.87 หรือเก่ากว่า ให้อัพเดทเป็นเวอร์ชัน 10.0.32.18 ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ได้รับการแก้ไขปัญหาช่องโหว่ความปลอดภัยแล้ว โดยสามารถทำการอัพเดทโดยใช้เบราเซอร์เปิดไปที่เว็บไซต์ Adobe Flash Player 10.0.32.18 จากนั้นคลิก Agree and install now แล้วปฏิบัติการขั้นตอนบนจอภาพ

Flash Player 10.0.32.18

หมายเหตุ: ให้ทำการอัพเดท Flash Player ในเบราเซอร์ทุกตัวที่ติดตั้งบนเครื่อง

นอกจากนี้ Adobe ได้ออกแพตซ์สำหรับผู้ใช้ที่ไม่สามารถอัพเดทเป็น Adobe Flash Player 10 ได้ โดยสามารถดาวน์โหลดแพตซ์ (Patch) มาติดตั้งได้ที่เว็บไซต์ Download Adobe Flash Player หรือดาวน์โหลดโดยตรงจากเว็บไซต์มาติดตั้งเอง ตามรายละเอียดด้านล่าง

• Flash Player 10 for Internet Explorer (Windows) ดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ Download EXE Installer

• Flash Player 10 for Plugin-based browsers (Windows) ดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ Download EXE Installer

• Flash Player 10 for Mozilla Firefox (Windows) ดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ Download Adobe Flash Player for Firefox

หมายเหตุ: วิธีการตรวจสอบเวอร์ชันของโปรแกรม Flash Player
สำหรับท่านที่ไม่แน่ใจว่าโปรแกรม Flash Player ที่ใช้อยู่เป็นเวอร์ชันใด สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ http://www.adobe.com/software/flash/about/

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
http://www.adobe.com/support/security/bulletins/apsb09-10.html

Copyright © 2009 All Rights Reserved.

Vulnerability in Microsoft Visual Studio

ไมโครซอฟท์เตือนผู้ใช้โปรแกรม Visual Studio ให้ระวังการโจมตีจากไวรัสและแฮกเกอร์
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

ไมโครซอฟท์ออก Microsoft Security Advisory (973882): Vulnerabilities in Microsoft Active Template Library (ATL) Could Allow Remote Code Execution เพื่อแจ้งให้ผู้ที่ใช้โปรแกรม Visual Studio ระวังการโจมตีจากแฮกเกอร์และมัลแวร์

เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 ไมโครซอฟท์เปิดเผยว่า กำลังทำการตรวจสอบช่องโหว่ของโปรแกรม Microsoft's Active Template Library (ATL) ซึ่งเป็นคอมโพเน็นต์หนึ่งของใช้โปรแกรม Visual Studio ช่องโหว่นี้สามารถใช้เป็นช่องทางสำหรับใช้ทำการ "รันโค้ดจากระยะไกล (Remote Code Execution)" โดยมีผลกระทบกับ
- Microsoft Visual Studio .NET 2003 Service Pack 1
- Microsoft Visual Studio 2005 Service Pack 1
- Microsoft Visual Studio 2005 Service Pack 164
-bit Hosted Visual C++ Tools
- Microsoft Visual Studio 2008
- Microsoft Visual Studio 2008 Service Pack 1
- Microsoft Visual C++ 2005 Service Pack 1 Redistributable Package
- Microsoft Visual C++ 2008 Redistributable Package
- Microsoft Visual C++ 2008 Service Pack 1 Redistributable Package

การอัพเดทระบบ
เพื่อแก้ไขปัญหาช่องโหว่ของโปรแกรม Microsoft's Active Template Library (ATL) ไมโครซอฟท์ได้ออกอัพเดทหมายเลข MS09-035 โดยผู้ใช้สามารถทำการอัพเดทจากเว็บไซต์ Microsoft Windows Update ผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือทำการดาวน์โหลดมาติดตั้งเอง ดูรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ด้านล่าง Microsoft Security Update: MS09-035

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
Advisory 973882

© 2009 TWAB. All Rights Reserved.

Security Update for IE5, IE6, IE7 and IE8

ซีเคียวริตี้อัพเดทสำหรับแก้ไขข้อผิดพลาดร้ายแรงใน IE5, IE6, IE7 และ IE8
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

สืบเนื่องจาก การพบข้อผิดพลาดร้ายแรงสูง (Critical) ในโปรแกรม IE 5,6,7 และ IE8 ซึ่งสามารถใช้เป็นช่องทางสำหรับใช้ทำการ "รันโค้ดจากระยะไกล (Remote Code Execution)" ได้ ล่าสุดวันที่ 28 กรกฎาคม ไมโครซอฟท์ได้ออกอัพเดทเพื่อแก้ไขปัญหานี้แล้ว ในอัพเดทหมายเลข MS09-034 โดยมีรายละเอียดดังนี้

MS09-034: Cumulative Security Update for Internet Explorer (972260)
อัพเดทลิงค์: http://www.microsoft.com/technet/security/bulletin/ms09-034.mspx
ผลกระทบ: Remote Code Execution
ซอฟต์แวร์ที่ได้รับผลกระทบ:
- Internet Explorer 5.01 Service Pack 4 เมื่อติดตั้งบน Microsoft Windows 2000 Service Pack 4
- Internet Explorer 6 Service Pack 1 เมื่อติดตั้งบน Microsoft Windows 2000 Service Pack 4
- Internet Explorer 6 สำหรับ Windows XP Service Pack 2 และ Windows XP Service Pack 3
- Internet Explorer 6 สำหรับ Windows XP Professional x64 Edition Service Pack 2
- Internet Explorer 6 สำหรับ Windows Server 2003 Service Pack 2
- Internet Explorer 6 สำหรับ Windows Server 2003 x64 Edition Service Pack 2
- Internet Explorer 6 สำหรับ Windows Server 2003 with SP2 สำหรับ Itanium-based Systems
- Internet Explorer 7 สำหรับ Windows XP Service Pack 2 และ Windows XP Service Pack 3
- Internet Explorer 7 สำหรับ Windows XP Professional x64 Edition Service Pack 2
- Internet Explorer 7 สำหรับ Windows Server 2003 Service Pack 2
- Internet Explorer 7 สำหรับ Windows Server 2003 x64 Edition Service Pack 2
- Internet Explorer 7 สำหรับ Windows Server 2003 with SP2 สำหรับ Itanium-based Systems
- Internet Explorer 7 ใน Windows Vista, Windows Vista Service Pack 1, และ Windows Vista Service Pack 2
- Internet Explorer 7 ใน Windows Vista x64 Edition, Windows Vista x64 Edition Service Pack 1, และ Windows Vista x64 Edition Service Pack 2
- Internet Explorer 7 in Windows Server 2008 for 32-bit Systems และ Windows Server 2008 for 32-bit Systems Service Pack 2 (Windows Server 2008 Server Core installation ไม่ได้รับผลกระทบ)
- Internet Explorer 7 ใน Windows Server 2008 for x64-based Systems และ Windows Server 2008 for x64-based Systems Service Pack 2 (Windows Server 2008 Server Core installation ไม่ได้รับผลกระทบ)
- Internet Explorer 7 ใน Windows Server 2008 สำหรับ Itanium-based Systems และ Windows Server 2008 สำหรับ Itanium-based Systems Service Pack 2
- Internet Explorer 8 สำหรับ Windows XP Service Pack 2 และ Windows XP Service Pack 3
- Internet Explorer 8 สำหรับ Windows XP Professional x64 Edition Service Pack 2
- Internet Explorer 8 สำหรับ Windows Server 2003 Service Pack 2
- Internet Explorer 8 สำหรับ Windows Server 2003 x64 Edition Service Pack 2
- Internet Explorer 8 ใน Windows Vista, Windows Vista Service Pack 1, และ Windows Vista Service Pack 2
- Internet Explorer 8 ใน Windows Vista x64 Edition, Windows Vista x64 Edition Service Pack 1, และ Windows Vista x64 Edition Service Pack 2
- Internet Explorer 8 ใน Windows Server 2008 for 32-bit Systems และ Windows Server 2008 for 32-bit Systems Service Pack 2 (Windows Server 2008 Server Core installation ไม่ได้รับผลกระทบ)
- Internet Explorer 8 ใน Windows Server 2008 for x64-based Systems และ Windows Server 2008 for x64-based Systems Service Pack 2 (Windows Server 2008 Server Core installation ไม่ได้รับผลกระทบ)
- Internet Explorer 8 ใน Windows Server 2008 สำหรับ Itanium-based Systems และ Windows Server 2008 สำหรับ Itanium-based Systems Service Pack 2

การอัพเดทระบบ
ผู้ใช้ทั่วไปสามารถทำการอัพเดทจากเว็บไซต์ไมโครซอฟท์อัพเดท (Microsoft Windows Update) ผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือทำการดาวน์โหลดมาติดตั้งเอง จากเว็บไซต์ด้านล่าง

• Internet Explorer 7 (IE7) บน Windows XP SP2 และ Windows XP SP3 ดาวน์โหลดอัพเดท IE7-WindowsXP-KB972260-x86-ENU.exe

• Internet Explorer 7 (IE7) บน Windows Vista; Windows Vista SP1 และ Windows Vista SP2 ดาวน์โหลดอัพเดท Windows6.0-KB972260-x86.msu

• Internet Explorer 8 (IE8) บน Windows XP SP2 และ Windows XP SP3 ดาวน์โหลดอัพเดท IE8-WindowsXP-KB972260-x86-ENU.exe

• Internet Explorer 8 (IE8) บน Windows Vista; Windows Vista SP1 และ Windows Vista SP2 ดาวน์โหลดอัพเดท IE8-Windows6.0-KB972260-x86.msu

• สำหรับ Internet Explorer เวอร์ชันอื่นๆ สามารถดูรายละเอียดการดาวน์โหลดอัพเดทได้จาก "เว็บไซต์ในส่วนข้อมูลอ้างอิง"

ข้อมูลอ้างอิง
• http://www.microsoft.com/technet/security/bulletin/ms09-034.mspx

© 2009 TWAB. All Rights Reserved.

Windows 7 Home Premium Installation

ทดลองติดตั้ง Windows 7 Home Premium (RTM)
ผมมีโอกาสทดลองติดตั้ง Windows 7 Home Premium (RTM) จึงนำภาพหน้าจอการขั้นตอนการติดตั้งมาฝากครับ ซึ่งขั้นตอนการติดตั้งจะคล้ายๆ กันกับการติดตั้ง Windows 7 Professional Installation ต่างกันเพียงขั้นตอนการเลือกรุ่น (Edition) เท่านั้น สำหรับหรับขั้นตอนการติดตั้ง Windows 7 เวอร์ชันอื่นๆ ดูได้ตามจากเว็บไซต์ Windows 7 Ultimate Installation และ Windows 7 Home Premium Installation และ Windows 7 Home Basic

การทดลองในครั้งนี้ จะติดตั้งเวอร์ชัน Windows 7 Home Premium 32-bit บนเครื่องเวอร์ชวลคอมพิวเตอร์ที่รันบน SUN VirtualBox 3.0.2 โดยผมคอนฟิกเวอร์ชวลแมชชีนให้ใช้ RAM 1GB เวอร์ชวลฮาร์ดดิสก์ขนาด 32 GB

System Requirements สำหรับ Windows 7 Home Premium (RTM)
Windows 7 Home Premium (RTM) มีความต้องการระบบขั้นต่ำดังนี้
  • CPU: ความเร็ว 1 GHz 32-bit (x86) หรือ 64-bit (x64) ซีพียู
  • Memory: หน่วยความจำอย่างน้อย 1 GB สำหรับเวอร์ชัน 32-bit และ 2 GB สำหรับเวอร์ชัน 64-bit
  • Disk space: พื้นที่ฮาร์ดดิสก์อย่างต่ำ 16 GB สำหรับเวอร์ชัน 32-bit และ 20 GB สำหรับเวอร์ชัน 64-bit
  • Graphics: รองรับ DirectX 9 และ Windows Display Driver Model 1.0 หรือสูงกว่า สำหรับการใช้งาน Aero theme
  • Other: DVD-R/W Drive, Internet access (สำหรับดาวน์โหลด Windows 7 และ Update)

ขั้นตอนการติดตั้ง Windows 7 Home Premium (RTM)
การติดตั้ง Windows 7 Home Premium (RTM) มีขั้นตอนดังนี้
1. เมื่อทำการบูตเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยแผ่นดีวีดี Windows Setup จะได้หน้าจอ Windows is loading files และ Starting Windows ดังรูปที่ 1 ให้รอจนระบบทำงานแล้วเสร็จ

Windows 7 RC
รูปที่ 1 Starting Windows

2. ในหน้าต่าง Install Windows ให้เลือกภาษาที่ต้องการ และตั้งค่าอื่นๆ ตามความต้องการ เสร็จแล้วคลิก Next เพื่อไปยังขั้นตอนต่อไป
ในที่นี้เลือก:
Language to install: English
Time and currency format: English (United States)
Keyboard or input method: US


รูปที่ 2 Install Windows

3. ในหน้าต่างถัดไปให้คลิก Install Now เพื่อเริ่มทำการติดตั้ง Windows 7


รูปที่ 3 Install Now

4. ในหน้า Select the operating system you want to install ให้เลือก Windows 7 Home Premium เสร็จแล้วคลิก Next


รูปที่ 4 Windows 7 Home Premium

5. ในหน้าต่าง Please read the license terms ให้อ่าน License Terms เสร็จแล้ว ให้คลิกเช็คบ็อกซ์ I accept the license terms จากนั้นคลิก Next เพื่อไปยังหน้าถัดไป


รูปที่ 5 EULA

6. ในหน้าต่าง Which type of installation do you want? ให้เลือกเป็น Custom (Advanced)


รูปที่ 6 Custom (Advanced) installation

7. ในหน้าต่าง Where do you want to install Windows? ให้เลือก Hard Disk/Partition ที่ต้องการติดตั้ง เสร็จแล้วคลิก Next


รูปที่ 7 Select Hard Disk/Partition

หมายเหตุ: ในกรณีที่ใน Hard Disk/Partition ที่เลือกมีการติดตั้งวินโดวส์เวอร์ชันอื่นอยู่ ระบบจะแสดงข้อความแจ้งเตือน ให้คลิก OK เพื่อยืนยันการติดตั้ง Windows 7

8. ระบบจะเริ่มทำการติดตั้ง Windows โดยจะดำเนินการต่างๆ ดังนี้ คือ Copying files, Expanding files, Installing features และ Installing updates หลังจากทำการติดตั้งขั้นตอน Installing updates แล้วเสร็จ จะทำการรีสตาร์ทระบบ 1 ครั้ง หลังจากรีสตาร์ทเสร็จจะทำขั้นตอน Completing Installation ต่อ หลังจากทำขั้นตอน Completing Installation แล้วเสร็จ จะทำการรีสตาร์ทระบบอีก 1 ครั้ง


รูปที่ 8 Installing Windows

9. ในหน้าต่าง Set Up Windows ระบบจะให้เลือก User name และตั้งชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้พิมพ์ User name ที่ต้องการในกล่องใต้ Type a user name: จากนั้นใส่ชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการในกล่องใต้ Type a computer name: เสร็จแล้วคลิก Next


รูปที่ 9 Set Up Windows

10. ในหน้าต่าง Set a password for your account ระบบจะให้กำหนดรหัสผ่านสำหรับ User name ที่สร้างในขั้นตอนที่ 8 ใส่รหัสผ่านที่ต้องการ 2 ครั้ง ในกล่องใต้ Type a password (recommended): และ Retype your password: จากนั้นพิมพ์ข้อมูลช่วยจำรหัสผ่านในช่อง Type a password hint: เสร็จแล้วคลิก Next


รูปที่ 10 Set a password for your account

หมายเหตุ: ในขั้นตอนที่ 9 นี้ ไม่จำเป็นต้องกำหนดรหัสผ่านก็ได้ แต่เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบ ผมขอแนะนำให้กำหนดรหัสผ่าน และในกรณีที่กำหนดรหัสผ่านจะต้องกำหนดข้อมูลช่วยจำรหัสผ่านด้วย ระบบจึงจะยอมให้ดำเนินการในขั้นตอนถัดไป

11. ในหน้าต่าง Type your Windows product key ให้ใส่หมายเลขโปรดักส์คีย์ (ขั้นตอนนี้เป็นอ็อปชันไม่จำเป็นต้องใส่ก็ได้ โดยหมายเลขโปรดักส์คีย์นั้น ไมโครซอฟท์ให้มาพร้อมกับการดาวน์โหลด) เสร็จแล้วคลิก Next


รูปที่ 11 Type your Windows product key

หมายเหตุ: ผมแนะนำให้เคลียร์เช็คบ็อกซ์ Automatically activate Windows when I'm online แล้วค่อยทำการแอคติเวตแบบแมนนวลภายหลัง

12. ในหน้าต่าง Help protect your computer and improve Windows automatically ให้เลือก Use recommended settings หรือ Install inportant updates only หรือ Ask me later ในที่นี้เลือกหัวข้อหลัง


รูปที่ 12 Help protect your computer and improve Windows automatically

13. ในหน้าต่าง Review your time and date settings ให้ทำการตั้ง Time Zone ให้ตรงพื้นที่ใช้งาน และตั้ง Date และ Time ให้ตรงกับวัน-เวลาจริง เสร็จแล้วคลิก Next


รูปที่ 13 Review your time and date setting

หมายเหตุ: Time Zone ใน Windows 7 นั้นจะเปลี่ยนจาก GMT เป็น UTC ตัวอย่างเช่นไทม์โซนของประเทศไทยจะเปลี่ยนจาก GMT+07:00 เป็น UTC+07.00

14. ในหน้าต่าง Select your computer's current location ให้เลือกเป็น Home network หรือ Work network หรือ Public network


รูปที่ 14 Select your computer's current location

หมายเหตุ: ขั้นตอนนี้จะมีเฉพาะในกรณีมีการเชื่อมต่อกับระบบเน็ตเวิร์ก

15. วินโดวส์จะทำการจัดเตรียมระบบตามการตั้งค่าต่างๆ ที่กำหนดในขั้นตอนด้านบน เมื่อเสร็จแล้วก็จะได้หน้า Desktop ดังรูปด้านล่าง

Windows 7 Desktop
รูปที่ 15 Windows 7 Home Premium (RTM) Desktop

หมายเลขเวอร์ชันของ Windows 7 Home Premium (RTM)
หลังจากทำการติดตั้ง Windows 7 Home Premium (RTM) เสร็จเรียบร้อยแล้ว สามารถดูหมายเลขเวอร์ชันได้โดยการรันคำสั่ง winver (คลิก Start พิมพ์ winver ในช่อง Search programs and files เสร็จแล้วกด Enter) เมื่อดูเวอร์ชันของ Windows 7 Home Premium (RTM) หมายเลขเวอร์ชันคือ 6.1 (Build 7600) และจุดที่แตกต่างอีกหนึ่งอย่างคือ Home Premium (RTM) จะไม่มีวันหมดอายุ ในขณะที่ RC จะหมดอายุในวันที่ 2 มีนาคม 2553

หมายเหตุ: ถ้าหากรันคำสั่ง ver ที่คอมมานด์พร็อมท์หมายเลขเวอร์ชันคือ 6.1.7600


รูปที่ 16 Windows 7 Home Premium (RTM) Version Number


รูปที่ 17 Basic Information

Windows 7 Home Premium (RTM) Log on Screen
เมื่อทำการสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows 7 Home Premium (RTM) จะได้หน้า Log on Screen ดังรูปด้านล่าง


รูปที่ 18 Log on Screen

ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง
Windows 7 Build 7600 Clean Install

บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

© 2009 TWAB. All Rights Reserved.

Wednesday, July 29, 2009

Screenshot Captor 2.70.01

จับภาพหน้าจอฟรีด้วย Screenshot Captor 2.70.01
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

สำหรับผู้ใช้ Windows XP สามารถทำการจับภาพหน้าจอได้โดยการกดปุ่มคีย์บอร์ด Ctrl+Print Screen สำหรับการจับภาพแบบเต็มจอ และ Alt+Print Screen การจับภาพหน้าต่างที่กำลังแอ็คทีฟ ซึ่งการจับภาพหน้าจอด้วยวิธีที่กล่าวมานั้น เพียงพอสำหรับการใช้งานในระดับพื้นฐาน แต่ถ้าต้องการวิธีที่ง่ายและสะดวกกว่าก็ต้องใช้โปรแกรม Snagit, Camtasia Studio หรือ HyperSnap แต่ก็มีปัญหาว่าโปรแกรมที่กล่าวมานั้นเป็นซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ที่ต้องเสียเงินซื้อ

วันนี้ผมเลยนำโปรแกรม Screenshot Captor ซึ่งเป็นโปรแกรมจับภาพหน้าจอแบบฟรีแวร์ (ต้องลงทะเบียนเพื่อรับซีเรียลนัมเบอร์ และสามารถบริจาคสนับสนุนผู้พัฒนาได้ตามความสมัครใจ) มีฟีเจอร์ครบเหมือนโปรแกรมเชิงพาณิชย์ราคาแพงอย่าง Snagit, Camtasia Studio หรือ HyperSnap การใช้งานไม่ยาก และสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องติดตั้ง

หมายเหตุ: สำหรับผู้ใช้ Windows Vista และ Windows 7 สามารถจับภาพหน้าจอโดยใช้ Snipping Tool ซึ่งมีมาให้พร้อมกับวินโดวส์

ฟีเจอร์ของโปรแกรม Screenshot Captor
• มีประสิทธิภาพการทำงานสูง สามารถจับภาพหน้าจอในแบบต่างๆ ได้ง่าย
• มีระบบการตั้งชื่อไฟล์อัฉริยะ และสามารถเพิ่มตัวอักษรลงในภาพได้
• รองรับจับภาพหน้าจอแบบ multi-monitor
• สามารถคอนฟิกให้เหมาะสมกับการใช้งาน
• มีโหมดการจับภาพให้เลือกใช้งานหลายโหมด เช่น Multimon (multiple monitors), Desktop, Active Window, Region และ Windows Object
• มี Effects ให้ใช้งานหลากหลาย เช่น automatic active window enhancement
• มีอินเทอร์เฟชที่ใช้งานง่าย
• รองรับการสร้างเวอร์ชันของไฟล์อัตโนมัติ (Optional)
• ทำงานร่วมกับเครื่องมือ Unicode Image Maker ได้เป็นอย่างดี
• มีฟังก์ชันค้นหาขอบเขตของธีมที่ไม่เป็นรูปสี่เหลี่ยมอัตโนมัติ
• มีฟังก์ชัน Autoscroll capture สำหรับหน้าต่างที่มีขนาดใหญ่กว่าหน้าจอมอนิเตอร์
• มีฟังก์ชัน thumbnail maker
• มีฟังก์ชัน Quick PostCapture PopUp Dialog ช่วยให้สามารถภาพหน้าจอได้สะดวกขึ้น
• มีฟังก์ชัน Quick Screenshot Emailer ช่วยให้สามารถภาพหน้าจอแล้วส่งอีเมล์ได้สะดวกขึ้น

ดาวน์โหลด Screenshot Captor 2.70.01
ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลด Screenshot Captor 2.70.01 มาใช้งานได้ฟรี จากเว็บไซต์ Download Screenshot Captor 2.70.01

© 2009 TWA Blog. All Rights Reserved.

Microsoft Office available for only $29 In China

Microsoft Office ในประเทศจีนในราคาเพียง $29
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

มีรายงานบนอินเทอร์เน็ตว่าไมโครซอฟท์ขายชุดโปรแกรม Microsoft Office ในประเทศจีนในราคาเพียง $29 หรือคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 900 กว่าบาท โดยเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน ปีที่แล้ว ซึ่งหลังจากการลดราคาดังกล่าวปรากฏว่ายอกขายเพิ่มขึ้นถึง 800% โดยขายไปแล้วกว่า 80,000 ก็อปปี้ ซึ่งมีแน้วโน้มว่าไมโครซอฟท์จะยังคงขายชุดโปรแกรม Microsoft Office ในประเทศจีนในราคา $29 ต่อไป

นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังเสนอเวอร์ชัน Free ของโปรแกรมยอดนิยมอย่าง Word, Excel และอื่นๆ เพื่อชนกับ Google ซึ่งให้บริการซอฟท์แวร์ Google Apps ซึ่งเป็นซอฟท์แวร์สำหรับใช้ในงานในลักษณะคล้ายๆ กัน แต่คิดค่าบริการถูกกว่า (Google Apps เวอร์ชัน Standard สามารถใช้งานได้ฟรี)

นอกจากในประเทศจีนแล้ว ไมโครซอฟท์ยังใช้กลยุทธ์ด้านราคา ด้วยการออกโปรโมชันขายชุดโปรแกรม Microsoft Office ในราคาถูกในหลายๆ ประเทศ ตัวอย่างเช่น ขาย Microsoft Office ในราคาเพียง $100 (คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 3,400 กว่าบาท) จากราคาเต็ม $150 (คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 5,250 กว่าบาท) ในประเทศอินเดีย และประเทศบราซิล

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
Businessweek.com

© 2009 TWAB. All Rights Reserved.

Microsoft Security Update for July 2009 (Out-of-Band)

ไมโครซอฟต์ซีเคียวริตี้บูลเลทินของเดือน กรกฎาคม 2552 (เพิ่มเติม)
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

ไมโครซอฟท์ออก Security Update เพิ่มเติม (Out-of-Band) ผมแนะนำทุกท่านที่ใช้โปรแกรมแกรม Internet Explorer และ Visual Studio เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ให้ทำการอัพเดททันทีที่ทำได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการโจมตีจาก Virus, Malware รวมถึง Hacker เนื่องจากการที่ไมโครซอฟท์ออก Security Update เพิ่มเติมนั้น หมายความว่าเป็นกรณีที่ร้ายแรงและเร่งด่วนจริงๆ

Microsoft Security Update for July 2009 (Out-of-Band)
ไมโครซอฟท์ออกซีเคียวริตี้อัพเดทประจำเดือนกรกฎาคมเพิ่มเติมจำนวน 2 อัพเดท โดยเป็นอัพเดทเพื่อแก้ไขจุดบกพร่องร้ายแรงของ Internet Explorer จำนวน 1 ตัว เป็นอัพเดทของ Visual Studio จำนวน 1 อัพเดท

• อัพเดทที่มีความร้ายแรงระดับวิกฤต (Critical)
อัพเดทที่มีความร้ายแรงระดับวิกฤต (Critical) มีจำนวน 1 ตัว ดังนี้
• MS09-034 สำหรับแก้ไขจุดบกพร่องของ Internet Explorer

Microsoft Security Bulletin 7: Internet Explorer
MS09-034: Cumulative Security Update for Internet Explorer (972260)
อัพเดทลิงค์: http://www.microsoft.com/technet/security/bulletin/ms09-034.mspx
ผลกระทบ: Remote Code Execution
ซอฟต์แวร์ที่ได้รับผลกระทบ:
- Internet Explorer 5.01 Service Pack 4 เมื่อติดตั้งบน Microsoft Windows 2000 Service Pack 4
- Internet Explorer 6 Service Pack 1 เมื่อติดตั้งบน Microsoft Windows 2000 Service Pack 4
- Internet Explorer 6 สำหรับ Windows XP Service Pack 2 และ Windows XP Service Pack 3
- Internet Explorer 6 สำหรับ Windows XP Professional x64 Edition Service Pack 2
- Internet Explorer 6 สำหรับ Windows Server 2003 Service Pack 2
- Internet Explorer 6 สำหรับ Windows Server 2003 x64 Edition Service Pack 2
- Internet Explorer 6 สำหรับ Windows Server 2003 with SP2 สำหรับ Itanium-based Systems
- Internet Explorer 7 สำหรับ Windows XP Service Pack 2 และ Windows XP Service Pack 3
- Internet Explorer 7 สำหรับ Windows XP Professional x64 Edition Service Pack 2
- Internet Explorer 7 สำหรับ Windows Server 2003 Service Pack 2
- Internet Explorer 7 สำหรับ Windows Server 2003 x64 Edition Service Pack 2
- Internet Explorer 7 สำหรับ Windows Server 2003 with SP2 สำหรับ Itanium-based Systems
- Internet Explorer 7 ใน Windows Vista, Windows Vista Service Pack 1, และ Windows Vista Service Pack 2
- Internet Explorer 7 ใน Windows Vista x64 Edition, Windows Vista x64 Edition Service Pack 1, และ Windows Vista x64 Edition Service Pack 2
- Internet Explorer 7 in Windows Server 2008 for 32-bit Systems และ Windows Server 2008 for 32-bit Systems Service Pack 2 (Windows Server 2008 Server Core installation ไม่ได้รับผลกระทบ)
- Internet Explorer 7 ใน Windows Server 2008 for x64-based Systems และ Windows Server 2008 for x64-based Systems Service Pack 2 (Windows Server 2008 Server Core installation ไม่ได้รับผลกระทบ)
- Internet Explorer 7 ใน Windows Server 2008 สำหรับ Itanium-based Systems และ Windows Server 2008 สำหรับ Itanium-based Systems Service Pack 2
- Internet Explorer 8 สำหรับ Windows XP Service Pack 2 และ Windows XP Service Pack 3
- Internet Explorer 8 สำหรับ Windows XP Professional x64 Edition Service Pack 2
- Internet Explorer 8 สำหรับ Windows Server 2003 Service Pack 2
- Internet Explorer 8 สำหรับ Windows Server 2003 x64 Edition Service Pack 2
- Internet Explorer 8 ใน Windows Vista, Windows Vista Service Pack 1, และ Windows Vista Service Pack 2
- Internet Explorer 8 ใน Windows Vista x64 Edition, Windows Vista x64 Edition Service Pack 1, และ Windows Vista x64 Edition Service Pack 2
- Internet Explorer 8 ใน Windows Server 2008 for 32-bit Systems และ Windows Server 2008 for 32-bit Systems Service Pack 2 (Windows Server 2008 Server Core installation ไม่ได้รับผลกระทบ)
- Internet Explorer 8 ใน Windows Server 2008 for x64-based Systems และ Windows Server 2008 for x64-based Systems Service Pack 2 (Windows Server 2008 Server Core installation ไม่ได้รับผลกระทบ)
- Internet Explorer 8 ใน Windows Server 2008 สำหรับ Itanium-based Systems และ Windows Server 2008 สำหรับ Itanium-based Systems Service Pack 2

• อัพเดทที่มีความร้ายแรงระดับกลาง (Moderate)
อัพเดทที่มีความร้ายแรงระดับกลางมีจำนวน 1 ตัว ดังนี้
• MS09-035 สำหรับแก้ไขจุดบกพร่องของ Visual Studio

Microsoft Security Bulletin 8: Visual Studio
MS09-035: Vulnerabilities in Visual Studio Active Template Library Could Allow Remote Code Execution (969706)
อัพเดทลิงค์: http://www.microsoft.com/technet/security/bulletin/ms09-035.mspx
ผลกระทบ: Remote Code Execution
ซอฟต์แวร์ที่ได้รับผลกระทบ:
- Microsoft Visual Studio .NET 2003 Service Pack 1
- Microsoft Visual Studio 2005 Service Pack 1
- Microsoft Visual Studio 2005 Service Pack 164
-bit Hosted Visual C++ Tools
- Microsoft Visual Studio 2008
- Microsoft Visual Studio 2008 Service Pack 1
- Microsoft Visual C++ 2005 Service Pack 1 Redistributable Package
- Microsoft Visual C++ 2008 Redistributable Package
- Microsoft Visual C++ 2008 Service Pack 1 Redistributable Package

Bulletin Executive Summaries
Bulletin Executive Summaries

การอัพเดทระบบ
ผู้ใช้ทั่วไปสามารถทำการอัพเดทจากเว็บไซต์ไมโครซอฟท์อัพเดท (Microsoft Windows Update) ผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือทำการอัพเดทผ่านทาง WSUS สำหรับผู้ใช้ในองค์กรที่มีการใช้ระบบ Windows Server Update Services (WSUS) ตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2552 เป็นต้นไป

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
Microsoft Security Bulletin Summary for July 2009

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
Microsoft Technet Security
Microsoft Security Center

© 2009 TWAB. All Rights Reserved.

Tuesday, July 28, 2009

Western Digital 2.5-inch terabyte drives

Western Digital เตรียมออกฮาร์ดดิสก์ขนาด 2.5 นิ้ว ความจุ 1 Terabyte
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

Western Digital ประกาศว่า กำลังจะวางจำหน่ายฮาร์ดดิสก์ขนาด 2.5 นิ้ว รุ่น WD Scorpio Blue อินเทอร์เฟชแบบ SATA ความจุ 1 Terabyte เพื่อเป็นโซลูชันใหม่ในการจัดเก็บข้อมูล

โดยฮาร์ดดิสก์ WD Scorpio Blue มีความเร็วรอบ 5200RPM มีอัตราการถ่ายโอนข้อมูล 3Gb/s ขนาดแคช 8MB ซึ่งจะมีจำหน่าย 2 รุ่นด้วยกัน คือ รุ่นความจุ 750GB และรุ่นความจุ 1TB โดยเบื้องต้นคาดว่ามีราคาจำหน่ายที่ $189.99 และ $249.99 ตามลำดับ

WD Scorpio Blue Specifications
WD Scorpio Blue Specifications

ในด้านเทคนิคนั้น ฮาร์ดดิสก์ WD Scorpio Blue นั้นจะมีเทคโนโลยีซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ Western Digital จำนวน 3 เทคโนโลยีด้วยกัน คือ WhisperDrive sound dampening, ShockGuard shock tolerance technology และ SecurePark technology ซึ่งช่วยลดเวลาในการสัมผัสระหว่างหัวบันทึกกับพื้นผิวของจากดิสก์ ส่งผลให้ฮาร์ดดิสก์มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น

Western Digital จะเริ่มวางจำหน่ายฮาร์ดดิสก์รุ่น WD Scorpio Blue ในเร็วๆ นี้ ผ่านทางร้านค้าออนไลน์ของ Western Digital ท่านใดสนใจก็สามารถเข้าไปดูได้ที่ Western Digital WD Scorpio Blue

หมายเหตุ: WD Scorpio Blue มีความสูง 12.5 mm ซึ่งอาจจะไม่สามารถใช้ได้กับอุปกรณ์บางตัวหรือคอมพิวเตอร์บางรุ่น

WD Scorpio Blue
WD Scorpio Blue

WD Scorpio Blue features
WD Scorpio Blue features

© 2009 TWAB. All Rights Reserved.

VLC Media Player 1.0.1

VLC Media Player 1.0.1 เวอร์ชันล่าสุดของหนึ่งในสุดยอดโปรแกรมเล่นไฟล์มัลติมีเดีย
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

VLC Media Player โปรแกรมเล่นไฟล์มัลติมีเดียอเนกประสงค์แบบโอเพนซอร์ส (Open Source) เป็นอีกหนึ่งโปรแกรมที่ผมมีไว้บนเครื่อง ล่าสุดออกเวอร์ชัน 1.0.1 เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม

โปรแกรม VLC Media Player 1.0.1 อาจจะมีหน้าตาอินเทอร์เฟชที่ไม่สวยเท่ากับของ WMP แต่ว่าอัดแน่นด้วยฟีเจอร์มากมาย รายละเอียดดังนี้
• ใช้งานได้ฟรี เป็นโอเพนซอร์ส (Open Source) และรองรับระบบปฏิบัติการได้หลากหลาย
• สามารถเล่นวีดีโอได้หลากหลายประเภทโดยไม่ขึ้นกับ Systems codecs
• รองรับการทำ Live recording
• รองรับการหยุดเล่นชั่วคราวแบบ Instant pausing และ Frame-by-Frame
• ควบคุมความเร็วในการเล่นไฟล์มัลติมีเดียได้
• มีระบบ HD codecs ตัวใหม่ AES3, Dolby Digital Plus, TrueHD, Blu-Ray Linear PCM, Real Video 3.0 และ 4.0, และอีกหลายตัว
• สามารถเล่นไฟล์มัลติมีเดียประเภทใหม่ๆ อย่างเช่น Raw Dirac, M2TS, และอีกหลายฟอร์แมต นอกจากนี้มีการปรับปรุงการเล่นไฟล์มัลติมีเดียประเภทต่างๆ ให้ดีขึ้น
• รองรับ Dirac encoder และ MP3 fixed-point encoder
• สามารถทำ Video scaling ในโหมด fullscreen
• รองรับ RTSP Trickplay
• สามารถเล่นไฟล์ Zipped
• สามารถปรับแต่ง Toolbars ได้ตามความต้องการ
• มีการปรับปรุง GUI อินเทอร์เฟชให้ใช้งาง่ายขึ้น
• สามารถทำงานในสภาพแวดล้อมแบบ Gtk ได้ดีขึ้น
• รองรับ MTP devices บน linux
• รองรับ AirTunes streaming
• มีหน้ากาก (Skin) รูปแบบใหม่ในอินเทอร์เฟช skins2

Download VLC Media Player 1.0.1
โปรแกรม VLC Media Player 1.0.1 เวอร์ชันสำหรับวินโดวส์ Windows 2000/XP/2003/Vista/XP64/Vista64 มีขนาดประมาณ 17.1 MB ท่านที่สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีที่เว็บ Download VLC Media Player 1.0.1 for Windows สำหรับเวอร์ของระบบปฏิบัติการอื่นๆ สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ Download LC 1.0.1 for Other Operating Systems หรือที่ http://mirror.leaseweb.com/pub/software/videolan/vlc/1.0.1/

การติดตั้งโปรแกรม VLC Media Player 1.0.1 นั้นทำได้ง่าย โดยหลังจากดาวน์โหลดเสร็จแล้ว ก็ให้ดับเบิลคลิกไฟล์ vlc-1.0.1-win32.exe จากนั้นก็ดำเนินการตามคำสั่งบนจอภาพจนการติดตั้งแล้วเสร็จ

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบในโปรแกรม VLC คือติดตั้งได้โดยไม่ต้องเป็นแอดมินของเครื่อง เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วให้ทำการเปิดโปรแกรม
โดยดับเบิลคลิกไฟล์ชอร์ตคัทบทเดสก์ท็อป จะได้หน้าโปรแกรมดังรูปด้านล่าง จากนั้นก็ดูหนังฟังเพลงได้ตามใจชอบ

VLC Media Player 1.0.1
VLC Media Player 1.0.1

VLC Media Player
VLC Media Player-About

© 2009 TWAB. All Rights Reserved.

Monday, July 27, 2009

Final Windows 7 System Requirements

Windows 7
ความต้องการระบบสำหรับ Windows 7 ขั้นสุดท้าย
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

ไมโครซอฟท์ได้ประกาศว่าพัฒนา Windows 7 ในวันที่ 22 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และในวันที่ 25 กรกฎาคม ก็ได้ส่งมอบให้กับ OEMs บางบริษัท (OEMs Pick Up Windows 7 RTM Code) พร้อมได้เผยแพร่ความต้องการระบบสำหรับ Windows 7 ขั้นสุดท้ายไว้ในเว็บไซต์ Microsoft Windows ซึ่งมีรายละเอียดด้านล่าง

System Requirements สำหรับ Windows 7
Windows 7 มีความต้องการระบบขั้นต่ำดังนี้
• CPU: ความเร็ว 1 GHz 32-bit (x86) ซีพียู หรือ 64-bit (x64) ซีพียู
• Memory: หน่วยความจำอย่างน้อย 1 GB สำหรับ Windows 7 32-bit และ 2 GB สำหรับ Windows 7 64-bit
• Disk space: พื้นที่ฮาร์ดดิสก์อย่างต่ำ 16 GB สำหรับ Windows 7 32-bit และ 20 GB สำหรับ Windows 7 64-bit
• Graphics: รองรับ DirectX 9 และ Windows Display Driver Model (WDDM) 1.0 หรือสูงกว่า สำหรับการใช้งาน Aero theme
• Other: DVD-R/W Drive, Internet access (สำหรับดาวน์โหลด Windows 7 และ Update)

ความต้องการระบบในด้านอื่นๆ
• ในการใช้งานบางฟังก์ชันของ Windows Media Center จะต้องใช้ TV tuner และฮาร์ดแวร์เพิ่มเติม
• Windows Touch และ Tablet PCs จะต้องใช้ฮาร์ดแวร์เฉพาะ
• HomeGroup จะต้องใช้ร่วมกับระบบเครือข่ายและพีซีที่ใช้ Windows 7
• การเขียน DVD/CD จะต้องใช้อ็อปติคอลไดรฟ์
• BitLocker ต้องการ Trusted Platform Module (TPM) 1.2 ในการทำงาน
• BitLocker To Go ต้องการ USB flash drive ในการทำงาน
• การใช้งาน Windows XP Mode จะต้องการหน่วยความจำ (RAM) เพิ่มขึ้น 1 GB และต้องการพื้นที่ฮาร์ดดิสก์เพิ่มเติมอีก 15 GB และโพรเซสเซอร์ต้องรองรับเทคโนโลยี Virtualization ของ Intel-VT หรือ AMD-V (และต้องเปิดใช้งาน)
• ระบบเสียงและดนตรีสำหรับการเล่นไฟล์มัลติมีเดีย

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
Windows 7 System Requirement

© 2009 TWAB. All Rights Reserved.

OEMs Pick Up Windows 7 RTM Code

Microsoft ส่งมอบ Windows 7 RTM ให้ OEMs แล้ว
มีความคืบหน้าเกี่ยวกับความการส่งมอบ Windows 7 RTM ให้กับ OEMs โดย Brandon LeBlanc ได้โพสต์บทความใน Windows Team Blog เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2552 (26 กรกฎาคม 2552 ตามเวลาในประเทศไทย) ว่า ไมโครซอฟท์ได้ส่งมอบ Windows 7 RTM ให้ OEMs บางบริษัทแล้ว

การส่งมอบในครั้งนี้ ไมโครซอฟท์ได้เชิญตัวแทนของ OEMs แต่ละราย มารับ Windows 7 RTM ด้วยตนเอง โดยรายชื่อ OEMs ที่ได้รับ Windows 7 RTM ไปแล้วมีดังนี้
  • HP
  • Toshiba
  • Lenovo
  • Asus
  • Acer
  • Dell
  • Sony
  • Fujitsu-Siemens

สำหรับผู้ใช้ทั่วไปหรือผู้ที่สนใจจะทดลองใช้งานนั้น มีข่าวว่าจะเริ่มสามารถดาวน์โหลด Windows 7 เวอร์ชันเต็มหรือเวอร์ชัเสร็จสมบูรณ์ ในวันที่ 22 ตุลาคม 2552 ซึ่งเป็นวันที่ไมโครซอฟท์ออก Windows 7 เวอร์ชัน General Availability (GA) สำหรับวางขายตามร้านไอทีทั่วไป

บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

ที่มา
Windows 7 Team Blog

© 2009 TWAB. All Rights Reserved.

Windows 7 Professional (RTM) Installation

วิธีการติดตั้ง Windows 7 Professional (RTM)
ผมมีโอกาสทดลองติดตั้ง Windows 7 Professional (RTM) จึงนำภาพหน้าจอการขั้นตอนการติดตั้งมาฝากครับ ซึ่งขั้นตอนการติดตั้งจะคล้ายๆ กันกับการติดตั้ง Windows 7 Build 7600 หรือ Windows 7 RC (Build 7100) แต่จะเพิ่มขั้นตอนการเลือกรุ่น (Edition) ที่ต้องการติดตั้งขึ้นมาหนึ่งขั้นตอน สำหรับหรับขั้นตอนการติดตั้ง Windows 7 เวอร์ชันอื่นๆ ดูได้ตามจากเว็บไซต์ Windows 7 Ultimate Installation และ Windows 7 Home Premium Installation และ Windows 7 Home Basic

การทดลองในครั้งนี้ จะติดตั้งเวอร์ชัน Windows 7 Professional 32-bit บนเครื่องเวอร์ชวลคอมพิวเตอร์ที่รันบน SUN VirtualBox 3.0.2 โดยผมคอนฟิกเวอร์ชวลแมชชีนให้ใช้ RAM 1GB เวอร์ชวลฮาร์ดดิสก์ขนาด 32 GB

System Requirements สำหรับ Windows 7 Professional (RTM)
Windows 7 Professional (RTM) มีความต้องการระบบขั้นต่ำดังนี้
  • CPU: ความเร็ว 1 GHz 32-bit (x86) หรือ 64-bit (x64) ซีพียู
  • Memory: หน่วยความจำอย่างน้อย 1 GB สำหรับเวอร์ชัน 32-bit และ 2 GB สำหรับเวอร์ชัน 64-bit
  • Disk space: พื้นที่ฮาร์ดดิสก์อย่างต่ำ 16 GB สำหรับเวอร์ชัน 32-bit และ 20 GB สำหรับเวอร์ชัน 64-bit
  • Graphics: รองรับ DirectX 9 และ Windows Display Driver Model 1.0 หรือสูงกว่า สำหรับการใช้งาน Aero theme
  • Other: DVD-R/W Drive, Internet access (สำหรับดาวน์โหลด Windows 7 และ Update)

ขั้นตอนการติดตั้ง Windows 7 Professional (RTM)
การติดตั้ง Windows 7 Professional (RTM) มีขั้นตอนดังนี้
1. เมื่อทำการบูตเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยแผ่นดีวีดี Windows Setup จะได้หน้าจอ Windows is loading files และ Starting Windows ดังรูปที่ 1 ให้รอจนระบบทำงานแล้วเสร็จ

Windows 7 RC
รูปที่ 1 Starting Windows

2. ในหน้าต่าง Install Windows ให้เลือกภาษาที่ต้องการ และตั้งค่าอื่นๆ ตามความต้องการ เสร็จแล้วคลิก Next เพื่อไปยังขั้นตอนต่อไป
ในที่นี้เลือก:
  • Language to install: English
  • Time and currency format: English (United States)
  • Keyboard or input method: US

Install Windows
รูปที่ 2 Install Windows

3. ในหน้าต่างถัดไปให้คลิก Install Now เพื่อเริ่มทำการติดตั้ง Windows 7

 Install Now
รูปที่ 3 Install Now

4. ในหน้า Select the operating system you want to install ให้เลือก Windows 7 Professional เสร็จแล้วคลิก Next

Windows 7 Professional
รูปที่ 4 Windows 7 Professional

5. ในหน้าต่าง Please read the license terms ให้อ่าน License Terms เสร็จแล้ว ให้คลิกเช็คบ็อกซ์ I accept the license terms จากนั้นคลิก Next เพื่อไปยังหน้าถัดไป

EULA
รูปที่ 5 EULA

6. ในหน้าต่าง Which type of installation do you want? ให้เลือกเป็น Custom (Advanced)

Custom installation
รูปที่ 6 Custom (Advanced) installation

7. ในหน้าต่าง Where do you want to install Windows? ให้เลือก Hard Disk/Partition ที่ต้องการติดตั้ง เสร็จแล้วคลิก Next

Hard Disk/Partition
รูปที่ 7 Select Hard Disk/Partition

หมายเหตุ: ในกรณีที่ใน Hard Disk/Partition ที่เลือกมีการติดตั้งวินโดวส์เวอร์ชันอื่นอยู่ ระบบจะแสดงข้อความแจ้งเตือน ให้คลิก OK เพื่อยืนยันการติดตั้ง Windows 7

8. ระบบจะเริ่มทำการติดตั้ง Windows โดยจะดำเนินการต่างๆ ดังนี้ คือ Copying Windows files, Expanding Windows files, Installing features และ Installing updates หลังจากทำการติดตั้งขั้นตอน Installing updates แล้วเสร็จ จะทำการรีสตาร์ทระบบ 1 ครั้ง หลังจากรีสตาร์ทเสร็จจะทำขั้นตอน Completing Installation ต่อ หลังจากทำขั้นตอน Completing Installation แล้วเสร็จ จะทำการรีสตาร์ทระบบอีก 1 ครั้ง

Installing Windows
รูปที่ 8 Installing Windows

9. ในหน้าต่าง Set Up Windows ระบบจะให้เลือก User name และตั้งชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้พิมพ์ User name ที่ต้องการในกล่องใต้ Type a user name: จากนั้นใส่ชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการในกล่องใต้ Type a computer name: เสร็จแล้วคลิก Next

Set Up Windows
รูปที่ 9 Set Up Windows

10. ในหน้าต่าง Set a password for your account ระบบจะให้กำหนดรหัสผ่านสำหรับ User name ที่สร้างในขั้นตอนที่ 8 ใส่รหัสผ่านที่ต้องการ 2 ครั้ง ในกล่องใต้ Type a password (recommended): และ Retype your password: จากนั้นพิมพ์ข้อมูลช่วยจำรหัสผ่านในช่อง Type a password hint: เสร็จแล้วคลิก Next

Set a password
รูปที่ 10 Set a password for your account

หมายเหตุ: ในขั้นตอนที่ 10 นี้ ไม่จำเป็นต้องกำหนดรหัสผ่านก็ได้ แต่เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบ ผมขอแนะนำให้กำหนดรหัสผ่าน และในกรณีที่กำหนดรหัสผ่านจะต้องกำหนดข้อมูลช่วยจำรหัสผ่านด้วย ระบบจึงจะยอมให้ดำเนินการในขั้นตอนถัดไป

11. ในหน้าต่าง Type your Windows product key ให้ใส่หมายเลขโปรดักส์คีย์ (ขั้นตอนนี้เป็นอ็อปชันไม่จำเป็นต้องใส่ก็ได้) เสร็จแล้วคลิก Next

หมายเหตุ: หมายเลขโปรดักส์คีย์นั้น ไมโครซอฟท์จะให้มาพร้อมกับการดาวน์โหลดสำหรับผู้ที่เป็นสมาชิก Technet และ MSDN สำหรับลูกค้าทั่วไปนั้นจะมาพร้อมกับแพ็กเกจที่ซื้อ

Windows product key
รูปที่ 11 Type your Windows product key

Tip: ผมแนะนำให้เคลียร์เช็คบ็อกซ์ Automatically activate Windows when I'm online แล้วค่อยทำการแอคติเวตแบบแมนนวลภายหลัง

12. ในหน้าต่าง Help protect your computer and improve Windows automatically ให้เลือก Use recommended settings หรือ Install important updates only หรือ Ask me later ในที่นี้เลือกหัวข้อหลัง

Protect your computer
รูปที่ 12 Help protect your computer and improve Windows automatically

13. ในหน้าต่าง Review your time and date settings ให้ทำการตั้ง Time Zone ให้ตรงพื้นที่ใช้งาน และตั้ง Date และ Time ให้ตรงกับวัน-เวลาจริง เสร็จแล้วคลิก Next

Time and Date
รูปที่ 13 Review your time and date setting

หมายเหตุ: Time Zone ของประเทศไทยเป็น UTC+07.00 หรือ GMT+07:00 ในวินโดวส์เวอร์ชันก่อนหน้า

14. ในหน้าต่าง Select your computer's current location ให้เลือกเป็น Home network หรือ Work network หรือ Public network

Location
รูปที่ 14 Select your computer's current location

หมายเหตุ: ขั้นตอนนี้จะมีเฉพาะในกรณีมีการเชื่อมต่อกับระบบเน็ตเวิร์ก

15. วินโดวส์จะทำการจัดเตรียมระบบตามการตั้งค่าต่างๆ ที่กำหนดในขั้นตอนด้านบน เมื่อเสร็จแล้วก็จะได้หน้า Desktop ดังรูปด้านล่าง

Windows 7 Desktop
รูปที่ 15 Windows 7 Professional (RTM) Desktop

หมายเลขเวอร์ชันของ Windows 7 Professional (RTM)
หลังจากทำการติดตั้ง Windows 7 Professional (RTM) เสร็จเรียบร้อยแล้ว สามารถดูหมายเลขเวอร์ชันได้โดยการรันคำสั่ง winver (คลิก Start พิมพ์ winver ในช่อง Search programs and files เสร็จแล้วกด Enter) เมื่อดูเวอร์ชันของ Windows 7 Professional (RTM) หมายเลขเวอร์ชันคือ 6.1 (Build 7600) และจุดที่แตกต่างอีกหนึ่งอย่างคือ Professional (RTM) จะไม่มีวันหมดอายุ ในขณะที่ RC จะหมดอายุในวันที่ 2 มีนาคม 2553

หมายเหตุ: ถ้าหากรันคำสั่ง ver ที่คอมมานด์พร็อมท์หมายเลขเวอร์ชันคือ 6.1.7600

Version Number
รูปที่ 16 Windows 7 Professional (RTM) Version Number

System Information
รูปที่ 17 System Information

Windows 7 Professional (RTM) Log on Screen
เมื่อทำการสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows 7 Professional (RTM) จะได้หน้า Log on Screen ดังรูปด้านล่าง

Windows 7 Logon Screen
รูปที่ 18 Windows 7 Log on Screen

ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง

บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

© 2009 TWAB. All Rights Reserved.

Sunday, July 26, 2009

Windows Server 2008 R2 Upgrade Paths


สิ่งที่ต้องทราบในการอัพเกรด Windows Server 2008 R2
บทความโดย: Windows Administrator Blog

Windows Server 2008 R2 พัฒนาถึงเวอร์ชัน RTM แล้ว ซึ่งไมโครซอฟท์ได้เผยแพร่บทความ "แนวทางการอัพเกรด" ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ที่ Download Windows Windows Server 2008 R2 Upgrade Paths.doc (English)

โดยการอัพเกรดไฟเป็น Windows Server 2008 R2 นั้น สามารถแบ่งได้เป็น 2 สถานการณ์ คือ ไม่รองรับการอัพเกรดเป็น Windows Server 2008 R2 (Unsupported Upgrade Scenarios) และ รองรับอัพเกรดเป็น Windows Server 2008 R2 (Supported Upgrade Scenarios)

Unsupported Upgrade Scenarios
ระบบที่ไม่รองรับการอัพเกรดเป็น Windows Server 2008 R2
• ระบบปฏิบัติการดังต่อไปนี้จะไม่สามารถอัพเกรดเป็น Windows Server 2008 R2
- Windows 95, Windows 98, Windows Millennium Edition, Windows XP, Windows Vista, Windows Vista Starter หรือ Windows 7
- Windows NT Server 4.0, Windows 2000 Server, Windows Server 2003 RTM, Windows Server 2003 with SP1, Windows Server 2003 Web, Windows Server 2008 R2 M3 หรือ Windows Server 2008 R2 Beta
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems, Windows Server 2003 x64, Windows Server 2008 for Itanium-based Systems, Windows Server 2008 R2 for Itanium-based Systems

• ไม่สามารถอัพเกรดข้ามสถาปัตยกรรม (Cross-architecture) ได้ ตัวอย่างเช่น ไม่สามารถอัพเกรดจากสถาปัตยกรรมแบบ x86 เป็น x64
• ไม่สามารถอัพเกรดข้ามเวอร์ชันภาษา (Cross-language) ได้ ตัวอย่างเช่น ไม่สามารถอัพเกรดจากเวอร์ชันภาษาอังกฤษไปเป็นภาษาเยอรมัน (en-us ไปเป็น de-de)
• ไม่สามารถอัพเกรดข้าม SKU (Cross-SKU) ได้ ตัวอย่างเช่น ไม่สามารถอัพเกรดจาก Windows Server 2008 Foundation SKU ไปเป็น Windows Server 2008 Datacenter SKU
• ไม่สามารถอัพเกรดข้ามประเภทบิลด์ (Cross-build type) ได้ ตัวอย่างเช่น ไม่สามารถอัพเกรดจาก fre ไปเป็น chk


Supported Upgrade Scenarios
สำหรับระบบที่รองรับอัพเกรดเป็น Windows Server 2008 R2 มีรายละเอียด ดังนี้

1. การอัพเกรดจาก Windows Server 2003 SP2 หรือ R2 ไปเป็น Windows Server 2008 R2 สามารถอัพเกรดได้ตามรุ่น (Edition) ที่ตรงกันหรือสูงกว่า ยกเว้นรุ่น (Edition) Standard ไม่สามารถอัพเกรดเป็นรุ่น Datacenter ได้ ดังรูปที่ 1


รูปที่ 1 Upgrades from Windows Server 2003 (SP2, R2) to Windows Server 2008 R2

2. การอัพเกรดจาก Windows Server 2008 RTM-SP1, SP2 ไปเป็น Windows Server 2008 R2 สามารถอัพเกรดได้ตามรุ่น (Edition) ที่ตรงกันหรือรุ่นที่สูงกว่า 1 ระดับ ดังรูปที่ 2


รูปที่ 2 Upgrades from Windows Server 2008 (RTM-SP1, SP2) to Windows Server 2008 R2


3. การอัพเกรดจาก Windows Server 2008 RC, IDS หรือ RTM ไปเป็น Windows Server 2008 R2 สามารถอัพเกรดได้ตามรุ่น (Edition) ที่ตรงกันหรือรุ่นที่สูงกว่า 1 ระดับ ดังรูปที่ 3


รูปที่ 3 Upgrades from Windows Server 2008 (RC, IDS or RTM) to Windows Server 2008 R2

การดาวน์โหลดและวางจำหน่าย Windows Server 2008 R2
ปัจจุบัน Windows Server 2008 R2 นั้น พัฒนาเป็นเวอร์ชัน RTM แล้ว โดยไมโครซอฟท์จะเริ่มเปิดให้ลูกค้าดาวน์โหลดได้ในวันที่ 14 สิงหาคม 2552 (การดาวน์โหลดจะขึ้นอยู่กับกลุ่มของลูกค้า) และจะวางจำหน่ายในในร้านค้าปลีกในวันที่ 14 กันยายน 2552

© 2009 TWAB. All Rights Reserved.