Windows Server 2008 R2 ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่พัฒนาต่อเนื่องจาก Windows Server 2008 (ในลักษณะเดียวกันกับ Windows Server 2003 R2 ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่พัฒนาต่อเนื่องจาก Windows Server 2003) นั้นมีกำหนดการออกในปี 2552 นี้ โดยในเวอร์ชัน R2 นี้ นอกจากการปรับปรุงฟีเจอร์เดิมให้ทำงานได้ดีขึ้นแล้ว ยังมีการเพิ่มฟังก์ชันการทำงานใหม่ๆ เข้ามาอีกหลายตัว โดยมีบางส่วนดังนี้
Hyper-V 2.0 with Live Migration capabilities
ใน Server 2008 R2 นั้นจะรวม Hyper-V 2.0 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเวอร์ชวลไลเซชันแพลตฟอร์มรุ่นที่ 2 ของไมโครซอฟท์ และมีฟังก์ชัน Live Migration ซึ่งสามารถทำการไมเกรตเวอร์ชวลแมชชีน (Virtual Machines หรือ VMs) แบบ Host-to-Host ได้โดยมีเวลาดาวน์ไทม์น้อย โดยเฉพาะในกรณีที่มีการใช้งานแบบ Cluster การไมเกรตจะทำได้ภายในเวลาเพียงไม่นาน ส่งผลให้ไม่กระทบกับการใช้งานของผู้ใช้
Remote Desktop Services (next-generation Terminal Services)
ใน Server 2008 R2 บริการ Terminal Services จะเปลี่ยนชื่อเป็น Remote Desktop Services (RDS) สำหรับเหตุผลของการเปลี่ยนชื่อในครั้งนี้ เพื่อสะท้อนการขยายบทบาทบริการ Terminal Services ใน Windows Server 2008 R2 ซึ่งยูสเซอร์สามารถรันในแบบเดสก์ท็อปและแอพพลิเคชันในดาต้าเซ็นเตอร์จากที่ ใดก็ได้
บริการ RDS ทำให้การใช้งานเดสก์ท็อปหรือแอพพลิเคชันจากการเชื่อมต่อจากระยะไกล มีความปลอดภัย น่าเชื่อถือ และมีประสิทธิภาพ ด้วยบริการ RDS จะช่วยดูแลให้ทรัพย์สินทางปัญญาที่มีค่าขององค์กรมีความปลอดภัยและเป็นไปตาม บทบัญญัติต่างๆ โดยการย้ายแอพพลิเคชันและดาต้าจากอุปกรณ์ของยูสเซอร์ไปอยู่ในดาต้าเซ็นเตอร์
Server Manager
เครื่องมือ Server Manager แบบ all-in-one ได้รับการอัพเดทใหม่ สามารถรองกับการจัดการเซิร์ฟเวอร์จากระยะไกล หรือ remote server management
Windows PowerShell 2.0
Windows PowerShell ใน Windows Server 2008 R2 นั้น จะอัพเดทเป็นเวอร์ชัน 2.0 ซึ่งมีสคริปต์ administrative cmdletss เพิ่มขึ้นหลายตัว นอกจากนี้ยังรองรับการสคริปต์ RDS และสามารถรันสคริปต์บนรีโมทคอมพิวเตอร์ได้
Active Directory Administrative Center
เป็น admin console แบบ PowerShell–based หลักตัวแรกของ Windows Server โดย Active Directory (AD) Administrative Center เป็นเครื่องมือที่มียูสเซอร์อินเทอร์เฟช (UI) แบบ task-based บน cmdlets เหมือนกับ admin console ของ Microsoft Exchange 2007 โดยหน้าต่างคอนโซลมีสามส่วน (Tree-pane) ลักษณะเหมือนกับ Microsoft Management Console (MMC) งาน AD administrative ทั่วไปจะอยู่แพนด้านซ้ายมือ การกระทำงาน (Tasks) อยู่แพนด้านขวามือ เครื่องมือทีถูกเลือกอยู่จะแสดงอยู่ตรงกลาง
ไมโครซอฟท์แจ้งกับลูกค้าว่า ในอนาคตนั้น เครื่องมือจัดการระบบวินโดวส์ต่างๆ จะทำงานอยู่บนพื้นฐานของ PowerShell มากขึ้น ในลักษณะเดียวกันกับ AD Administrative Center
.NET and ASP .NET in Server Core
สืบเนื่องจากลูกค้าที่ใช้งานแบบ Server Core ใน Server 2008 ต้องการให้มีการเพิ่มบทบาทที่จำเป็นของเซิร์ฟเวอร์ โดยหนึ่งในนั้นคือ IIS Web Server ซึ่งยังรองรับไม่เต็มรูปแบบ โดยใน R2 มีการเพิ่ม ส่วนย่อยของ .NET Frameworkเข้าใน Server Core และจะรองรับการใช้งาน IIS Web Server อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึง ASP .NET นอกจากนี้ ใน Server Core สามารถรันสคริปต์ PowerShell ได้อีกด้วย
Massive scalability with better multi-core support
Windows Server 2008 R2 สามารถรองรับลอจิคอลโปรเซสเซอร์ได้ 256 แกน โดยการปรับปรุงมากที่สุดจากเวอร์ชันก่อนหน้านี้ที่รองรับเพียง 64 โปรเซสเซอร์ นอกจากนี้เวอร์ชวลแมชชีนแบบฐาน Hyper-V สามารถรองรับโปรเซสเซอร์ได้ 32 แกนต่อ VM
Server 2008 R2 สำหรับรองรับ Windows 7
นอกจากฟีเจอร์ต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีฟีเจอร์ใน R2 ที่รองรับเฉพาะกับการใช้งานกับ Windows 7 ดังนี้
DirectAccess
ฟีเจอร์ DirectAccess ทำงานผ่านทาง HTTPS เหมือนกันกับ Microsoft Outlook access to Exchange เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับผู้ใช้แบบเคลื่อนที่สามารถเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ที่อยู่บนระบบเครือข่ายองค์กรจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องยุ่งยากในการติดตั้งระบบที่ซับซ้อนและแพงอย่าง Virtual Private Network (VPN) โดยที่ผู้ใช้รู้สึกเหมือนกับเชื่อมต่อกับเครือข่ายขององค์กร
BranchCache
ฟีเจอร์ BranchCache จะเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยแก้ปัญหาสำหรับองค์กรในการเชื่อมต่อเครือข่ายกับสำนักงานสาขาแบบความเร็วต่ำ โดยทำการแคชข้อมูลไว้บน เซิร์ฟเวอร์ของสำนักงานสาขา เมื่อผู้ใช้งานที่สาขาต้องการเข้าถึงข้อมูลกสามารถใช้ข้อมูลที่ทำการแคชไว้ได้
BitLocker to Go
ฟีเจอร์ BitLocker To Go สามารถรองรับการเข้ารหัสสื่อเก็บข้อมูลแบบพกพา เช่น แฟลชไดร์ฟ และฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพาเป็นต้น อย่างไรก็ตามฟีเจอร์ BitLocker To Go จะต้องใช้ร่วมกันกับฮาร์แวร์ที่รองรับ Trusted Platform Module (TPM) ฟีเจอร์ BitLocker To Go จะช่วยองค์กรควบคุมไม่ให้ข้อมูลสำคัญและทรัพย์สินทางปัญญารั่วไหลออกจากองค์กรได้ดีขึ้น
Power Management
เนื่องจาก Server 2008 R2 และ Windows 7 นั้น สามารถทำการมอนิเตอร์และคอนฟิกระบบ power management อัตโนมัติ และสามารถทำการคอนฟิกผ่านทาง Group Policy Objects (GPOs).
ข้อควรทราบเกี่ยวกับ Windows Server 2008 R2
นอกจากนี้ยังมีข้อควรทราบอีกอย่าง คือ ไมโครซอฟท์จะออก Server 2008 R2 เฉพาะเวอร์ชัน 64-บิต และไม่รองรับการอัพเกรดจาด Server 2008 เวอร์ชัน 32-บิต ดังนั้นผู้ที่ใช้ Server 2008 เวอร์ชัน 32-บิต หากต้องการใช้ Server 2008 R2 จะต้องทำการติดตั้งแบบ Clean Installation เท่านั้น สำหรับผู้ที่ใช้ Server 2008 เวอร์ชัน 64-บิต สามารถทำการอัพเกรดไปเป็น Server 2008 R2 ได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
What You Need to Know About Windows Server 2008 R2
Copyright © 2009 All Rights Reserved.
No comments:
Post a Comment
เชิญแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ขอสงวนสิทธิ์ในการเผยแพร่ข้อความ HTML